นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 104.65 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.56% ส่งผลให้ ดัชนีฯไตรมาสแรก(มกราคม-มีนาคม 2566) อยู่ที่ 101.07 หดตัว 3.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เดือนมีนาคม 2566 มีอัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) 66.06% ไตรมาสแรกเฉลี่ยที่ 63.66% ปัจจัยหลักมาจากคำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลงจากเศรษฐกิจโลกผันผวน ประเทศคู่ค้าหลักหลายประเทศเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลให้เศรษฐกิจยังชะลอตัว
“อย่างไรก็ตามหากเทียบกับกุมภาพันธ์ 2566 พบว่าขยายตัว 5.47% ผลมาจากเศรษฐกิจไทยเริ่มทยอยฟื้นตัวจากการได้รับปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคท่องเที่ยวและบริการทำให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเริ่มขยายตัวดีขึ้น” นางวรรณ กล่าว
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีฯลดลงและบางส่วนลดลงต่อเนื่องถึง 10 เดือนที่ทำให้ สศอ.กังวล อาทิ อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ หรือ HDD เฟอร์นิเจอร์ เม็ดพลาสติกสิ่งทอ เหล็ก และถุงมือยาง ฯลฯ สศอ.เตรียมหารือกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการระดมสมองหรือ โฟกัสกรุ๊ป วันที่ 10พฤษภาคมนี้ เพื่อที่จะได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยใดหรือไทยกำลังสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันไปแล้วหรือไม่เพื่อที่ภาครัฐจะได้หาแนวทางช่วยเหลือและจะสรุปแนวทางเพื่อเสนอรัฐบาลพิจารณาต่อไป
ขณะที่อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีฯ เดือนมีนาคม 2566 ได้แก่ รถยนต์ ขยายตัว 8.18% จากการได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น ทำให้ผลิตได้เพิ่มขึ้นรวมไปถึงยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่เติบโตอย่างมาก การกลั่นน้ำมัน ขยายตัว 6.15% จากการผลิตน้ำมันเครื่องบิน และแก๊สโซฮอล์ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มากขึ้นและเครื่องปรับอากาศที่ผลิตสูงสุดรอบ 8 ปีโดย MPI เดือนมีนาคมอยู่ที่ 144.39 ขยายตัวถึง 7.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากปัจจัยหนุนคืออากาศร้อนจัด เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เช่น ดักจับฝุ่น PM2.5ประหยัดพลังงาน ฯลฯ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ขยายตัว ขณะเดียวกันเดือนมีนาคมส่งออก เครื่องปรับอากาศ 849.60 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 16.67% โดยส่งออกเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน
การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้น GDP ภาคอุตสาหกรรม 0.33-0.53%และกระตุ้นดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม 0.44-0.64%มาจาก 2 ส่วน ส่วนแรกมาจากงบประมาณจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) 5,945 ล้านบาท ส่วนที่สองมาจากค่าใช้จ่ายในกิจกรรมการหาเสียงของพรรคการเมืองคาดว่าจะอยู่ที่ 21,664-30,368 ล้านบาท อุตสาหกรรมที่ได้รับผลบวกมากที่สุด 5 อุตสาหกรรมคือ อุปกรณ์วิทยุและเครื่องเสียงเครื่องแต่งกาย ผลิตเพิ่มขึ้น น้ำมันเชื้อเพลิง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ สิ่งพิมพ์และการพิมพ์โฆษณาอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี