ประเด็น #ค่าไฟแพง กลายเป็นหัวข้อสุดฮอตทั้งในพื้นที่โซเชียล และในชีวิตจริงแบบไม่มีแผ่ว เหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากตัวเลขในบิลค่าไฟฟ้าของหลายบ้านเห็นว่าเพิ่มขึ้นจากปกติ แต่อาจลืมนึกไปว่า เดือนเมษายนของปีนี้ สภาพอากาศในบ้านเรา และหลายประเทศทั่วโลก ล้วนแต่อยู่ในสถานการณ์ “ไม่ปกติ” คือ ร้อนขึ้น ร้อนจัด จนล่าสุด วันที่ 6 พ.ค.66 ก็ได้สร้างสถิติความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของระบบไฟฟ้า หรือ ค่าพีค (Peak) ใหม่ อยู่ที่ 34,826.50 เมกะวัตต์ สูงกว่า Peak เดิม ที่ 33,177.30 เมกะวัตต์
เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2566 อุณหภูมิสูงสุดของสภาพอากาศประเทศไทย สร้างสถิติใหม่ที่ 45 องศาเซลเซียส ขยับหนีตัวเลขเดิมที่ประเทศไทยเคยจัดเก็บไว้ ที่อุณหภูมิสูงสุดในช่วงหน้าร้อนเพิ่มขึ้นจาก 37.2 ไปเป็น 44.60 องศาเซลเซียส ในช่วงปี 2494 – 2565 อีกทั้งในปี 2566 นี้ ยังมาพร้อมกับการมาถึงรอบของ ปรากฏการณ์เอลนิโญ่ (ความแห้งแล้ง และความร้อน)
ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวจากสื่อต่างประเทศทั้งจากฝั่งยุโรปและอเมริกา ส่งสัญญาณเตือนถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Monster Asian heatwave (ปีศาจความร้อนแห่งเอเชีย) ที่ครอบคลุมถึงประเทศไทยด้วย และอาจส่งผลกระทบให้ในอีก 3 สัปดาห์จากนี้ บ้านเรามีความเสี่ยงเจอกับสภาพอากาศร้อนทะลุ 50 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในไทยมาก่อน เป็นเรื่องต้องระวังภัย (ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในประเทศยุโรป)
ปรับพฤติกรรมการใช้ไฟ ลดภาระค่าไฟ
เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น จึงส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านเรือน และสะท้อนผ่านค่าไฟฟ้า โดยสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย เท่ากับ อัตราค่าไฟ คูณด้วยจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงตัวเลขค่าไฟที่ไม่อยากจะเห็นเพิ่มขึ้น ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จาก “ข้อมูลจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้” ทั้งปัจจุบัน และย้อนหลัง 6 เดือน มาวิเคราะห์และทำความเข้าใจที่มาของค่าไฟบ้านเรา ซึ่งสามารถอ่านค่าได้โดยตรงจากบิลค่าไฟ
ทั้งนี้ การใช้หน่วยไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อการปรับขั้นบันไดของอัตราการคิดค่าไฟแบบก้าวหน้า (Progressive rate) ดังนั้น ทางที่ดีเราควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับตัวเลขหน่วยการใช้ไฟ ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมและการบริโภคพลังงานของบ้านเราอย่างจริงจัง
ขณะที่อีกปัจจัยซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบก็คือ อากาศที่ร้อนมากขึ้น ส่งผลกระทบถึง “การกินไฟที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ไฟฟ้า ประเภทแอร์” อย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องมาจากช่วงของอุณหภูมิที่แอร์ต้องทำงานมีค่าสูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การที่อุณหภูมิภายนอกร้อนขึ้น 6 องศาเซลเซียสนั้น ส่งผลต่อหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 15% (เรียกง่ายๆ ว่า ยิ่งร้อนขึ้น แอร์บ้านเรายิ่งกินไฟมากขึ้น !!) และยังไม่รวมถึงการกินไฟอันเนื่องมาจาก ปัญหาต่างๆ ของอุปกรณ์ การบำรุงรักษา และการสูญเสียพลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น ซึ่งบางกรณีสูงถึง 15-20% ที่เราต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เลยที่เดียว และที่แน่ๆ ส่งผลเสียต่อการเพิ่มขึ้นของหน่วยการใช้ไฟ และค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายในท้ายที่สุด
ย้ำอัตราค่าไฟภาคครัวเรือน 4 เดือนแรกคงที่
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลอย่างเป็นทางการ พบว่า ค่าไฟในงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ไม่ได้มีการปรับขึ้นค่าไฟของกลุ่มผู้ใช้ภาคครัวเรือน และยังคงตัวเลขอัตราค่าไฟเท่าเดิม คือ เฉลี่ย 4.72 บาทต่อหน่วย
ขณะเดียวกัน บ้านที่ใช้ไฟต่ำกว่า 300 หน่วย ที่ผ่านมาก็เป็นกลุ่มที่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ผ่านการลดค่า Ft ยกตัวอย่างเช่น ลดค่า Ft 100% และ 75% สำหรับผู้ใช้ไฟน้อยกว่า 150 และ 300 หน่วย ตามลำดับ ซึ่งในประเทศเรามีประชาชนที่ได้รับการดูแลในกลุ่มนี้กว่า 80% ของประชากรไทยทั้งหมด
ดังนั้น สำหรับบางกลุ่มที่ตื่นตระหนกกับบิลค่าไฟงวดล่าสุด สาเหตุของค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นนั้นอาจมาจากการใช้หน่วยไฟฟ้าที่สูงขึ้นจนเกินช่วง 150 และ 300 หน่วย ที่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ดังนั้น การปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน เล็กๆ น้อยๆ ตามหลัก 4ป ได้แก่ 1. ปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน 2. ปรับอุณหภูมิแอร์ที่ 25-26 องศาเซลเซียส เพราะการปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียสจะช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้ประมาณ 10 % 3. ปลดปลั๊กทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน และ 4. เปลี่ยนมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ติดดาว เหล่านี้อาจเป็นทางออกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าในกลุ่มนี้ ซึ่งมีสัดส่วนราว 20% ของประชากรในประเทศ แต่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 60% ของประเทศเลยทีเดียว
ต้นทุนค่าไฟกว่า 60% คือค่าเชื้อเพลง
ต้นทุนหลักกว่า 60% ที่มีผลต่อการคิดค่าไฟ ก็คือ ค่าเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ทุกครั้งที่สถานการณ์โลกเจอปัญหาราคาเชื้อเพลิงนำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ย่อมหมายถึงต้นทุนค่าไฟสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด ดังนั้น เมื่อคำนวณจากอัตราค่าไฟที่ระดับเฉลี่ย 4.72 บาทต่อหน่วย จะเป็นต้นทุนในส่วนของค่าเชื้อเพลิงถึงกว่า 2.74 สตางค์
ช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญปัจจัยที่ดันให้ค่าเชื้อเพลิงมีราคาแพง จาก 4 สาเหตุใหญ่ๆ นั่นคือ 1. ปริมาณก๊าซในประเทศราคาถูกลดลง (เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนผ่านสัมปทาน) 2. ทำให้เราต้องนำเข้าก๊าซธรรมขาติเหลว (LNG) จากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นเพื่อทดแทน 3. ราคา LNG เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จากสถานการณ์ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์โลก และ 4. อัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาท) ที่อ่อนตัวลงไปแตะ 38 บาทต่อดอลลารสหรัฐ ในช่วงปลายปี 65 ที่ผ่านมา
จาก 4 สาเหตุข้างต้น ส่งผลต่อการวางแผนและคาดการณ์ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นในโครงสร้างอัตราค่าไฟในช่วง มกราคม – เมษายน 2566 ที่เราใช้อยู่ในงวดนี้ อย่างไรก็ตาม จากหลากหลายปัจจัยบวกที่เริ่มเห็นสัญญาณแล้ว รวมถึงแนวโน้มต้นทุนค่าเชื้อเพลิงปรับลดลง น่าจะส่งผลดีต่ออัตราค่าไฟที่ดีขึ้นสำหรับทุกภาคส่วนในงวดหน้า (พฤษภาคม - สิงหาคม 2566)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี