นายเชษฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อจากทั้งในประเทศและต่างชาติ โดยหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1-6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หรืออยู่ที่ระดับประมาณ 397,000-418,000 หน่วย ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2-7%เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หรืออยู่ที่ระดับประมาณ 1.09-1.14 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยในตลาดโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ในกลุ่มบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ส่วนกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ คาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในลักษณะอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากที่ภาวะของตลาดมีการหดตัวมากในปีก่อนหน้าขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมจะขยายตัวได้มากขึ้นโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในระดับบน สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยมือสองนั้น ยังมีแนวโน้มได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย จะทำให้การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้จำเป็นต้องกลับมาติดตามสถานการณ์หน่วยเหลือขายสะสม ที่มีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง นอกจากนี้ต้นทุนด้านการก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จะยังเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น
“ภาวะอัตราเงินเฟ้อ และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคให้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะกำลังซื้อในกลุ่มผู้ที่รายได้ปานกลาง-ล่าง ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นอีกปัจจัยที่ยังคงกดดันสถานการณ์ด้านกำลังซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางการเงิน ด้านต้นทุนก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากทั้งราคาที่ดิน รวมถึงค่าแรงงาน ที่มีแนวโน้มปรับขึ้น ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างสำคัญ อย่างเหล็ก และปูนซีเมนต์ ก็ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า”นายเชษฐวัฒก์ กล่าว
ทั้งนี้จากปัจจัยกดดันที่ยังคงมีน้ำหนัก ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ ทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างระมัดระวัง การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใส่ใจประเด็นด้าน ESG ซึ่งการพัฒนาที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทอย่างระมัดระวังนั้น ต้องพิจารณาหน่วยเหลือขายสะสมในแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปด้วย แม้ที่อยู่อาศัยในระดับราคา Affordable ยังคงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่คาดว่ายังคงมีความต้องการจากผู้ซื้อ รวมถึงบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับราคาปานกลาง-บนมีแนวโน้มแข่งขันกันเข้มข้นมากขึ้น การเลือกเปิดโครงการในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของโครงการใหม่สูง หรือพื้นที่ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของหน่วยเหลือขายสะสมสูง จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น
นอกจากนี้การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการลดต้นทุนการก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ผ่านการนำเทคโนโลยีมาช่วยในด้านการก่อสร้าง รวมถึงสร้างความร่วมมือกับผู้รับเหมาในการจัดหาวัสดุก่อสร้างและแรงงาน และใส่ใจประเด็นด้าน ESG เนื่องจาก ESG จะเข้ามามีบทบาทในภาคอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยมากขึ้น ผู้ประกอบการควรปรับตัวทั้งในด้านกระบวนการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีส่วนช่วยให้ผู้อยู่อาศัยประหยัดพลังงานมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี