นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้น และการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ภาคธุรกิจทุกส่วนมีความกังวล เพราะการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ทำให้มีการจัดทำงบประมาณล่าช้าออกไปด้วย ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจ หรือวางแผนธุรกิจของนักลงทุน และส่งผลต่อฟื้นตัว
ของเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า แต่ยังอยู่ในกรอบเดือนสิงหาคม-กันยายน 2566 ทำให้เศรษฐกิจเสียโอกาสไม่รุนแรง เพราะรัฐบาลรักษาการสามารถประคองการจ่ายงบประมาณไปได้ ส่วนการชุมนุมประท้วงทางการเมือง ประเมินภาพในขณะนี้มองว่าจะไม่ยืดเยื้อจนกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และหากสามารถตั้งรัฐบาลได้ภายในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2566 ทำให้คาดว่าจีดีพีของไทยในปี 2566 นี้จะเติบโตได้อยู่ในกรอบ 3.5-4%ต่อปี
“หอการค้าฯยังคงกรอบจีดีพีปี 2566 อยู่ที่ 3.5% หากการประท้วงไม่มีความรุนแรงจนถึงขั้นทำให้เกิดการเจ็บ เสียชีวิต หรือเผาทำลาย ทุกอย่างผ่านไปได้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในกรอบ 3.5-4% ถามว่าทำไมถึงมั่นใจแบบนั้น เพราะธนาคารโลกได้ประเมินเศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.9% ซึ่งเชื่อว่าได้ประเมินปัจจัยทางการเมืองไปบ้างแล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังไม่นำการเมืองมาถ่วงเป็นปัจจัยลบรุนแรง หอการค้าฯจึงยังมองการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ที่ 3.5% บวกลบ ยังไม่เปลี่ยนประมาณการณ์ แต่ถ้าเหตุการณ์พลิกผันรุนแรง ก็ต้องดูระดับความรุนแรงว่าเป็นอย่างไร” นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับภาคการท่องเที่ยว ยังเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ และคาดหวังว่าปี 2566 ที่จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในไทย 30 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวที่มาไทยทุก 10 ล้านคน จะสร้างให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 5 แสนล้านบาท ซึ่งคาดหวังว่าในไตรมาส 4 จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 7-9 ล้านคน แต่หากสถานการณ์การเมืองพลิกผันเกิดความรุนแรง จะกระทบทำให้นักท่องเที่ยวหายไปต่อเดือนเหลือ 1 ล้านคน จาก 2-3 ล้านคน และถ้าการชุมนุมยืดเยื้อ 6 เดือนหลัง นักท่องเที่ยวจะหายไปครึ่งหนึ่ง หรือรายได้เฉลี่ยต่อหัวจะหายไป 10 ล้านคน เม็ดเงินหายไป2-5 แสนล้านบาท จีดีพีถูกลบไป 1% จะทำให้วงจรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชะงักลง แต่ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะประเมิน และเชื่อว่าไม่น่าเกิดเหตุความรุนแรงจนถึงจุดนั้น
ส่วนผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมิถุนายน 2566 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากระดับ 55.7 เป็น 56.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 40 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา
ทั้งนี้เป็นผลมาจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายเรื่องค่าครองชีพลงส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามผู้บริโภคยังคงกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการจัดตั้งและเสถียรภาพทางการเมืองรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูงโดยเฉพาะค่าไฟฟ้า รวมถึงสถานการณ์สถาบันการเงินของโลก เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทย ทำให้การส่งออกในช่วงนี้หดตัวลงและมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาค ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 51.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม 53.7 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 65.1 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนพฤษภาคมแสดงว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี