นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม กระทรวงพลังงานได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์ราคาพลังงานจากผลกระทบการสู้รบของอิสราเอลและฮามาสช่วงที่ผ่านมา โดยราคามีการขึ้นลงแกว่งในกรอบไม่น่ากังวลแต่กระทรวงพลังงานจะเฝ้าระวังราคาน้ำมันและราคาเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อบริหารราคาดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ดังนั้นขอประชาชนไม่ต้องกังวลว่าน้ำมันขาดแคลนเพราะไทยมีน้ำมันสำรองใช้นานถึง 70 วัน
สำหรับแนวโน้มราคาค่าไฟงวดปีหน้าคือเดือนมกราคม-เมษายน 2567 ต้องพิจารณาแนวโน้มราคาเชื้อเพลิงอีกครั้ง โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) และปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งเอราวัณที่จะเพิ่มเป็น 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในเดือนเมษายน 2567 ตามสัญญา จากปัจจุบันอยู่ที่ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หากราคาแอลเอ็นจีลดลงและปริมาณก๊าซฯตามแผนจะส่งผลดีต่อค่าไฟ จากปัจจุบันรัฐบาลสั่งลดราคาเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ช่วยรับภาระก่อน
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานจะสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนในภาคประชาชนและภาคธุรกิจ อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาบ้าน (โซลาร์รูฟท็อป) การติดตั้งโซลาร์บนหลังคาโรงงาน เบื้องต้นได้หารือกับกระทรวงการคลังขอสนับสนุนเครื่องมือด้านภาษีเพื่อกระตุ้นผู้ลงทุนทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลให้นำการลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้ คล้ายนโยบายช็อปช่วยชาติ รวมทั้งสนับสนุนหน่วยงานรัฐติดโซลาร์โดยไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน ให้หน่วยงานเติร์ดปาร์ตี้ อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เข้ามาบริหารจัดการ ตลอดจนการบำรุงรักษาทั้งระบบ จะช่วยลดค่าไฟลง 15-20% คาดว่าจะมีความชัดเจนใน 3-6 เดือน โดยจะมีการเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาอนุมัติ
นอกจากนี้ในช่วง 6 เดือน กระทรวงพลังงานมีแผนเดินหน้าโรงไฟฟ้าชุมชน 200 เมกะวัตต์ ขณะนี้ได้หารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว มีแผนสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนเป็นเจ้าของร่วมกับเอกชนผู้ผลิตไฟฟ้า เน้นปลูกพืชพลังงานในพื้นที่ที่ปลูกพืชเศรษฐกิจไม่ได้ หรือปลูกแล้วแต่ราคาไม่ดี โดยจะจับคู่กับสายส่ง กำหนดพื้นที่รับซื้อ ให้ชุมชนเป็นผู้เลือกผู้ผลิตไฟฟ้า เน้นผลิตไฟใช้ในชุมชน หากเหลือให้ขายเข้าระบบได้ โดยกระทรวงพลังงานจะหารือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายนี้เมื่อได้ข้อสรุปจะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติรับซื้อไฟต่อไป
ด้าน นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. เปิดเผยว่า สนค. ได้ประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากความไม่สงบในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ต่อเศรษฐกิจการค้าของไทยว่า หากสถานการณ์ลุกลามจนเกิดภาวะ shock ขึ้นในภูมิภาค เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2554-2556 เหตุการณ์ “Arab Spring” ที่เกิดจากการลุกฮือของประชาชนเพื่อต่อต้านรัฐบาลในตะวันออกกลาง และได้ลุกลามขยายวงกว้างสร้างความวุ่นวาย ทางการเมืองทั้งในอียิปต์ ลิเบีย เยเมน และบาห์เรน ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกให้พุ่งขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นทางการค้ากับตะวันออกกลาง และทำให้การส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคดังกล่าวขยายตัวชะลอลง
ขณะที่กรณีที่สถานการณ์ยังอยู่ในวงจำกัด ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานน้ำมัน เพราะไม่ได้มีการนำเข้าน้ำมันจากอิสราเอลหรือปาเลสไตน์ และมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากหลากหลายแหล่ง แต่หากสถานการณ์ขยายขอบเขตสู่ระดับภูมิภาคจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากภูมิภาคตะวันออกกลางคือแหล่งนำเข้าสินค้าพลังงาน (น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญของไทย โดยไทยนำเข้าสินค้าพลังงานจากตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วน 52.3% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี