นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลการวิเคราะห์ส่งออกไทยไตรมาสที่ 4 ปี 2566 พบว่า เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นกลับมาขยายตัวได้ถึง 6.8% จาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีนี้ที่ติดลบต่อเนื่อง จากฐานการส่งออกต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัว และสินค้าเกษตรและอาหารที่ส่งออกได้มากขึ้น จากความต้องการในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร แต่ภาพรวมทั้งตลอดทั้งปี ยังคงติดลบที่ 2% โดยมูลค่าการส่งออกประมาณการณ์ไว้ที่ 281,593 ล้านเหรียญสหรัฐ
“สินค้าเด่นที่จะส่งออกได้ดีในไตรมาสสุดท้ายนี้ จะมีสัดส่วนถึง 27.1% อาทิ ทุเรียน ข้าว ไก่ ไข่ บะหมี่สำเร็จรูป เครื่องดื่ม ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องสำอาง น้ำมันเบนซิล เป็นต้นแต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยง คือ อัตราดอกเบี้ยประเทศคู่ค้าอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัว ส่งผลเสียต่อการส่งออกของไทย ราคาส่งออกไทยสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4 ส่งผลให้ต้นทุนการผลิต และราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นปัญหาเอลนีโญ ที่ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งราคาและปริมาณ” นายธนวรรธน์ กล่าว
ส่วนในปี 2567 จากอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยประเทศต่างๆ ที่ชะลอตัวส่งผลให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับนโยบายผลักดันการส่งออกของไทย ทั้ง Soft Power การแก้ไขอุปสรรคการค้าชายแดน และผลักดันการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTA จะกระตุ้นการส่งออกในตลาดต่างๆ ได้มากขึ้น จึงคาดการณ์ว่าการส่งออกทั้งปี 2567 จะขยายตัวได้ 3.6% มูลค่า 291,773 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่ติดตามจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวสูงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ปัญหาเอลนีโญ จะกระทบให้ผลผลิตการเกษตรของไทยลดลง โดยค่าเงินบาทที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้นกระทบกับการแข่งขัน และราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นกระทบต่อต้นทุน
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งระหว่างจีน-สหรัฐฯ รัสเซีย-ยูเครน และล่าสุดเกิดสงครามอิสราเอล กับกลุ่มฮามาส แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย แม้สถานการณ์อาจจะยืดเยื้อแต่คาดว่าจะกระทบต่อมูลค่าการส่งออกให้ลดลงเพียง 0.1% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 369 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ กรณีเลวร้ายที่สุดคือสงครามขยายวงกว้างทั่วตะวันออกกลาง จะกระทบการส่งออกไทยหดตัว 1.7% หรือมูลค่าประมาณ 4,700 ล้านเหรียญสหรัฐแต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก
นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า การส่งออกของไทยขณะนี้ มีสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 และจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในปีหน้า มีเม็ดเงินเฉลี่ยกลับเข้ามาในระบบประมาณ 300,000-350,000 ล้านบาท เป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทย รองจากเงินดิจิทัล วอลเล็ต หากคิดจากฐานเดิมที่รัฐบาล คำนวณ 560,000 ล้านบาท เป็นเงินเติมเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีหน้า ให้โตได้ในกรอบ 4.5-5% แต่ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลคือเรื่องของเอลนีโญ ที่จะกระทบมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร แต่ละปี 1 ล้านล้านบาท หากหายไป 2-6% จะทำให้เงินหายไปจากระบบ 20,000-60,000 ล้านบาท ถือว่าสูงมาก ดังนั้น หากนำเงินดิจิทัลวอลเล็ต ปรับมาแจกให้เฉพาะ 40 ล้านคนจากฐานข้อมูลประชากร ที่รายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน ตามที่ภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เสนอให้นำเงิน จากที่เหลืออีกกว่า 1 แสนล้านบาท ไปทำโครงการแก้ไขปัญหาน้ำ จากภัยแล้งที่จะลากยาวไปหลายปี เพื่อป้องกันรายได้หดหาย ของประชาชนกลุ่มฐานราก เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี