กกพ. เคาะ 3 ทางเลือกขึ้น‘ค่าไฟ’งวดต้นปี 67 ลุ้นรัฐบาลควัก 4.1 หมื่นล้านบาทอุ้มราคาเดิม 3.99 บ.
10 พฤศจิกายน 2566 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกกพ. เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) สำหรับงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2567 อยู่ที่ 64.18 สตางค์ต่อหน่วย จากปัจจัยแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ตลาดโลกสูงขึ้นตามปริมาณการใช้เพิ่มขึ้น จึงให้สำนักงาน กกพ. รับฟังความคิดเห็นในกรณีต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 10 – 24 พฤศจิกายน 2566 มี 3 ทางเลือก ประกอบด้วย
+ กรณีที่ 1 ค่าเอฟที 64.18 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชำระภาระต้นทุนคงค้างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) 95,777 ล้านบาทในงวดเดียว รวมเป็น 216.42 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเป็น 5.95 บาทต่อหน่วย
+ กรณีที่ 2 ค่าเอฟที 64.18 สตางค์ต่อหน่วย และจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ.ใน 1 ปี จาก 95,777 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 งวดๆ ละ 31,926 ล้านบาท รวมเท่ากับ 114.93 สตางค์หน่อย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานต้องจ่ายค่าไฟ 4.93 บาทต่อหน่วย
+ กรณีที่ 3 ค่าเอฟที 64.18 สตางค์ต่อหน่วย และจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ.ใน 2 ปี จาก 95,777 ล้านบาท แบ่งเป็น 6 งวดๆ ละ 15,963 ล้านบาท รวมเท่ากับ 89.55 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน ต้องจ่ายค่าไฟรวม 4.68 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ กกพ.ยังรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจริงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 พบแอลเอ็นจีตลาดโลกปรับตัวลดลงในช่วงกลางปีที่ผ่านมาส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำกว่าประมาณการ และได้เงินส่งคืนส่วนต่างราคาก๊าซจากการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ที่กำหนดให้ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ต้องคิดค่าก๊าซในรอบมกราคม-เมษายน 2566 ตามราคาประมาณการ ทำให้มีเงินค่าต้นทุนส่วนเกินก๊าซนำมาคืนเป็นส่วนลดค่าก๊าซในรอบดังกล่าวเพิ่มเติม ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงมีค่าต่ำกว่าประมาณการ ทำให้ปลายเดือนสิงหาคม กฟผ. มีภาระต้นทุนคงค้างลดลงเหลือ 95,777 ล้านบาท จึงนำมาใช้คำนวณการคิดค่าเอฟทีครั้งนี้
“จากภาพรวมปัจจุบันคาดว่าค่าไฟฟ้าปี 2567 จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 60 กว่าสตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปี 2567 ทั้งปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่หากมีข้อเสนอให้ค่าไฟฟ้าต่ำกว่า 3 แนวทางที่กำหนดข้างต้น กกพ. ก็ต้องกลับมาหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางปฏิบัติ เพราะจะเป็นการผลักภาระให้ กฟผ. แบกหนี้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อไป รวมถึงผู้นำเข้าก๊าซด้วย ยกเว้นว่าจะมีแนวทางการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติทั้งระบบให้ราคาเท่ากัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากบางทางเลือกไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ กกพ. ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดผลกระทบกับหน่วยงานใดหรือไม่ ต้องหารือร่วมกัน” นายคมกฤช กล่าว
นายคมกฤช กล่าวว่า นอกจากนี้ต้องติดตามแผนการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยว่าจะมีกำลังการผลิตกลับมาเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วันตามเป้าหมายหรือไม่ จากปัจจุบันอยู่ที่ 200-400 ล้านลบ.ฟุต/วัน รวมถึงการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) ที่นำเข้าจะมีสัญญาระยะยาวมากกว่าการซื้อในตลาดจรหรือไม่ เพราะมีความมั่นคงและราคาถูกว่า ประกอบกับต้องติดตามการนำเข้าก๊าซจากผู้ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้จัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ(ชิปเปอร์) รายใหม่ 7 รายด้วยว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่จากข้อมูลล่าสุดปี 2566 ที่ กกพ. เปิดโควต้าให้นำเข้า 3 ล้านตัน/ปี ยังไม่มีผู้รายอื่นเข้ามาใช้ นอกเหนือจาก กฟผ. เพียงรายเดียว
รายงานข่าวจาก กกพ. แจ้งว่า หากรัฐบาลต้องการตรึงค่าไฟฟ้าให้อยู่ระดับ 3.99 บาทต่อหน่วย เบื้องต้นจากกรณีการขึ้นค่าไฟต่ำที่สุด คือ 4.68 บาทต่อหน่วย เท่ากับส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ที่ 69 สตางค์ต่อหน่วย การอุดหนุนทุก 1 สตางค์จะใช้เงิน 600 ล้านบาท เท่ากับรัฐบาลจะต้องใช้วงเงินอุดหนุนถึง 41,400 ล้านบาท ซึ่งต้องดูว่าจะหาแหล่งเงินจากที่ใด เพราะถือเป็นวงเงินที่ค่อนข้างสูง หากจะใช้วิธียืดหนี้กฟผ.อีก ก็ต้องดูความพร้อมและสถานะการเงินประกอบด้วย
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี