"นพดล"เร่งรัฐบาลเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อียู และไทย-อังกฤษ ห่วงความล่าช้าทำไทยเสียโอกาสและความสามารถแข่งขัน
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 นายนพดล ปัทมะ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า กมธ.การต่างประเทศ ได้ติดตามความคืบหน้าการเจรจาเอฟทีเอ Free Trade Agreement (FTA) ของไทย ทราบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีความตกลง FTA 14 ฉบับกับ 18 ประเทศคู่ค้า ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู ชิลี และฮ่องกง โดยความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ถือเป็น FTA ฉบับล่าสุดของไทย ซึ่งการใช้สิทธิจะสามารถทำให้ผู้ส่งออกไทยลดหรือยกเว้นภาษีศุลกากรขาเข้า ณ ประเทศปลายทางได้ เป็นการสร้างแต้มต่อทางภาษีและกระตุ้นการสั่งซื้อได้เป็นอย่างดี
นายนพดล กล่าวต่อว่า กมธ.ต่างประเทศให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับความคืบหน้าการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อังกฤษและไทย-สหภาพยุโรป(อียู) ซึ่งมีการเริ่มเจรจาในรัฐบาลที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากการรัฐประหารในปี 2557 ทางอียูได้หยุดการเจรจากับไทย และหลังการเลือกตั้งปี 2562 ก็มีการเริ่มเจรจากันใหม่ แต่ไม่คืบหน้า จนกระทั่งมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งปี 2566 จึงมีการกลับมากำหนดกลไกการเจรจาจาอีกครั้ง ตนเชื่อว่า ข้อตกลงเอฟทีเอไทย-อียู จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าไทย ดึงดูดการลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้เพิ่มขึ้น ผลักดันให้ GDP ของไทยขยายตัวร้อยละ 1.28 เพราะอียูเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับอียูมีมูลค่า 41,038.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 2.9% คิดเป็นสัดส่วน 7% ของการค้าไทยกับโลก นอกจากนั้นในส่วนของเอฟทีเอไทย-อังกฤษ หลังจากที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกอียูในปี 2563 ไทยและอังกฤษได้ลงนาม MOU จัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า (JETCO) ในปี 2564 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ กมธ.เห็นว่า ควรเร่งเจรจาทำเอฟทีเอไทย-อังกฤษด้วยเช่นกัน เนื่องจากอังกฤษ เป็นคู่ค้าอันดับที่ 22 ของไทย โดยในปี 2565 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 6,198.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 12.25% ผลการศึกษาเรื่องการจัดทำ FTA ไทย-อังกฤษ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวประมาณ 0.04 - 0.07% และการส่งออกสินค้าของไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 777 - 1,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายนพดล กล่าวว่า กมธ.ประเมินว่าการเจรจาเอฟทีเอ FTA ไทย-อียู และไทย-อังกฤษล่าช้าไปร่วม 10 ปีและไม่คืบหน้าเท่าที่ควร จึงเสนอแนะรัฐบาล 3 ข้อ ดังนี้ 1.รัฐบาลควรมีเจตจำนงทางการเมืองให้ชัดเจนและกำหนดกรอบเวลาการเจรจาให้เสร็จเช่น 1 หรือ 2 ปี 2.เร่งรับฟังความเห็นของภาคส่วนที่อาจได้รับผลกระทบจากข้อตกลงเอฟทีเอและหามาตรการเยียวยาไว้ล่วงหน้า 3.นอกจากการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ไทย-อังกฤษ แล้ว รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายการเจรจาเอฟทีเอกับประเทศในภูมิภาคอื่นๆว่าจะทำกับประเทศใดบ้าง และจะเสร็จเมื่อใด
“ส่วนตนเห็นว่า กรอบระยะเวลาในการเจรจาเอฟทีเอที่ปกติใช้เวลาประมาณ 2 ปี อาจล่าช้าเกินไป ทำให้ประเทศเสียโอกาสและความสามารถในการแข่งขันไปมาก จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนกรอบการดำเนินงานให้กระชับและรวดเร็วขึ้น และหวังว่านายกรัฐมนตรีจะหยิบยกการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อังกฤษ ในการเยือนอังกฤษเร็วๆนี้ซึ่งกมธ.จะคอยติดตามความก้าวหน้าต่อไป”
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี