นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเอเปก ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 ณ นครซานฟรานซิสโกรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ตนได้มีโอกาสพบปะกับนายอัน ด๊อก-กึน รัฐมนตรีการค้าของเกาหลีใต้ นายฮวน คาร์ลอส แมทธิว ซาลาซาร์รมว.การค้าต่างประเทศและการท่องเที่ยวของเปรู และนายแอลเจอร์นอน เยา รมว.พาณิชย์และพัฒนาเศรษฐกิจของฮ่องกง เพื่อหารือถึงการขยายความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้เพิ่มมากขึ้น
โดยในการหารือกับเกาหลีใต้ ได้เห็นตรงกันถึงประโยชน์ของการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการเปิดเสรีเพิ่มเติมจาก FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะการเปิดตลาดเพิ่มเติมในสินค้าที่ยังไม่ได้ลดเลิกภาษีศุลกากร ซึ่งจะช่วยขยายการค้าและการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ รวมทั้งดึงดูดการลงทุนจากเกาหลีใต้ในไทยเพิ่มขึ้น โดยเกาหลีใต้มองว่าไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าสำคัญ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน เทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานทดแทน เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อส่งออกไปยังประเทศเป้าหมายอื่นๆ โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะเร่งรัดกระบวนการภายในที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกาศเริ่มการเจรจา FTA ไทย-เกาหลีใต้ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-เกาหลีใต้ ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพช่วงต้นปี 2567
ทั้งนี้ไทยได้ชวนเกาหลีใต้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องนโยบายซอฟต์ เพาเวอร์ ให้แก่ไทยเนื่องจากเกาหลีใต้เป็นแบบอย่างของการดำเนินนโยบายดังกล่าวที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสีเขียวในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย โดยเฉพาะยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกาหลีใต้มีความเชี่ยวชาญ และจะเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทย
ในขณะเดียวกันไทยได้ผลักดันให้ศุลกากรของเกาหลีใต้ เร่งออกประกาศเพื่อปรับภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าน้ำมะพร้าวแท้ 100% ในอัตรา 0% ภายใต้ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ จากเดิมที่ปรับขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าอยู่ที่ 40% มาตั้งแต่ปี 2562 เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ขององค์การศุลกากรโลก ซึ่งคาดว่าศุลกากรของเกาหลีใต้จะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2567
สำหรับการหารือกับเปรู ทั้ง 2 ฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะสานต่อการเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-เปรู (TPCEP) ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งจะครอบคลุมการเปิดตลาดการค้าสินค้าส่วนที่เหลืออยู่ 30% ของรายการสินค้าทั้งหมด และการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไทยที่ต้องการผลักดันและขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จาก FTA ในกรอบต่างๆอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับภาคเอกชนไทยในการเข้าสู่ตลาดโลก ทั้งนี้ 2 ฝ่ายจะกำหนดเป้าหมายให้มีการบรรลุผลเจรจาภายในปี 2567 ซึ่งจะเร่งผลักดันให้เกิดผลลัพธ์การเจรจาที่เป็นรูปธรรม และสร้างแต้มต่อให้กับเอกชนของทั้ง 2 ประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้หารือแนวทางการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน โดยเปรูเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ เช่น องุ่นสด อะโวคาโด และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งสามารถผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพในด้านการแปรรูปอาหาร เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานแปรรูปสินค้าในเปรู หากการเดินหน้าสานต่อการเจรจา TPCEP เป็นไปอย่างราบรื่นและสำเร็จ จะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยมากขึ้นในอนาคต
ส่วนการหารือกับฮ่องกง ได้หารือแนวทางส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยไทยเห็นถึงศักยภาพของฮ่องกงในฐานะประตูสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area) ซึ่งจะช่วยกระจายสินค้าศักยภาพของไทยไปตลาดจีน โดยผู้บริโภคในฮ่องกงนิยมสินค้าไทย โดยเฉพาะอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ข้าว ผลไม้ไทยเนื้อสุกร ซึ่งครองตลาดเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกไปฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจบริการ เน้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งไทยมีความโดดเด่นด้านเอนิเมชั่นและบริการในส่วนของขั้นตอนภายหลังการถ่ายทำ (Post Production) จึงขอให้จีน ฮ่องกง สนับสนุนผู้ประกอบไทยที่เข้าร่วมงาน Hong Kong International Film and TV Market (FILMART) ซึ่งไทยจะจัดตั้ง Thailand Pavilion ภายในงาน เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างและต่อยอดศักยภาพของไทยในจีน ฮ่องกง และตลาดโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี