nn ภาคการเกษตร...คืออาชีพของปู่ย่าตายายไทยที่หล่อเลี้ยงลูกหลานไทยมานานหลายร้อยปีและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในไทยมาก็ไม่น้อยเช่นกัน…ตัวเลข ณ ปัจจุบันเกษตรกรไทยมีอยู่ ประมาณ 43% ของประชากรทั้งประเทศ ตัวเลข ณ ปี 2565 เศรษฐกิจภาคการเกษตรของไทยในปี 2565 มีมูลค่าราว 1.53 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 8.8% ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจภาคเกษตรไทยขยายตัวเพียง 7.7% ขณะที่ประเทศต่างๆ มีการขยายตัวในอัตราที่สูง เช่น ออสเตรเลีย ขยายตัวอยู่ที่ 51.5% อินเดีย 82.7% และเวียดนาม 53.2% แม้แต่ประเทศที่เน้นบทบาทของการผลิตภาคอุตสาหกรรม อย่างเช่น ประเทศจีนก็ยังมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจภาคเกษตร ถึง 68.6% และเยอรมนี ที่ขยายตัว 51.0%
สาเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์ข้างต้นนั้นเพราะภาคการเกษตรไทย มีข้อจำกัดในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรที่สามารถเพิ่มรายได้สร้างกำไรที่สูงขึ้น ซึ่งกำไรยังถือเป็นส่วนสำคัญของเกษตรกรที่จะนำมาใช้เพื่อลงทุนพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประกอบธุรกิจในมิติต่าง ๆ เช่น การซื้อที่ดินเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลงทุนสร้างแหล่งกักเก็บน้ำในช่วงน้ำเยอะสำรองไว้ในช่วงน้ำน้อย หรือการลงทุนในเทคโนโลยีการเพาะปลูกทางการเกษตรที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการเพาะปลูกในระยะยาว....แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเกษตรกรไทยไม่สามารถลงทุนต่อยอดพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตใดๆ ได้เลย
ปัญหาหลักที่ทำให้เกษตรกรไทยทุกวันนี้ยิ่งทำยิ่งจน...ก็น่าจะมาจาก 1.เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับการขายสินค้าเกษตรโดยไม่ผ่านการแปรรูปที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ 2.เกษตรกรไทยเผชิญกับปัญหาการกระจายรายได้จากผลผลิตที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากไม่สามารถก้าวผ่านการเป็นผู้ผลิตเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการได้ จึงยังมีฐานะเป็นเพียงผู้ผลิตสินค้าขั้นกลางให้กับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าขั้นสุดท้าย
จากกรณีศึกษาเรื่องข้าวพบว่าปี 2566 ข้าวขาวราคาเฉลี่ย 20.7 บาท/กิโลกรัม กำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการก่อนหักต้นทุนการขายและการบริหารที่ราว 4.05 - 5.8 บาทต่อกิโลกรัม หรือคิดเป็นการกระจายรายได้จากผลผลิตขั้นสุดท้ายถึงมือผู้ประกอบการที่ 19.6%-24.5% ในขณะที่เกษตรกรไทยได้รับกำไรจากการเพาะปลูกข้าวเพียงราว 0.22 บาทต่อกิโลกรัม หรือคิดเป็นการกระจายรายได้ที่ย้อนกลับมาในมือของเกษตรกรคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.1% ของราคาข้าวขาวที่เป็นสินค้าบริโภคขั้นสุดท้าย
ถ้าไม่โลกสวยก็ต้องยอมรับกันว่าสินค้าเกษตรของไทยทุกชนิดตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกับข้าว...ไม่เช่นนั้นรัฐบาลคงไม่ต้องควักเงินงบประมาณมาประกันราคาสินค้าเกษตรถึงปีละ 2-3 แสนล้านบาท แล้วก็ทำกันมาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี ไม่ว่ารัฐบาลไหนที่ผ่านมาก็ทำเช่นนี้...นี่ยังไม่นับรวมภาระการคลังที่เกิดจากการชดเชยให้สถาบันการเงินของรัฐที่เข้ามาช่วยในนโยบายพักหนี้เกษตรกร...ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการ จำนำหรือประกันราคา สินค้าเกษตรกรต่างๆ อีก
เมื่อเป็นเช่นนี้จะเหลือเกษตรกรในประเทศอีกหรือไม่ต้องคิดแล้ว เพราะเกษตรกรรุ่นปัจจุบันก็อายุกว่า 60 ปีกันแล้ว เมื่อยิ่งทำยิ่งจน รายได้น้อยกว่างานในภาคอื่นๆ คนรุ่นใหม่จะเข้าสู่ภาคการเกษตรกันไปทำไม...ไม่ทำอะไรที่เป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ณ วันนี้....ในที่สุดก็จะไม่มีคนปลูกข้าวให้คนไทยกันแล้วล่ะครับ...
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี