nn ช่วงนี้สถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์เริ่มเผยแพร่รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2567 ออกมากันแล้วหลายแห่งซึ่งเกือบทุกแห่งก็จะมีสถานการณ์คล้ายๆกันก่อนจะบอกว่าคล้ายกันอย่างไรเราลองไปดูตัวเลขของแต่ละแบงก์ที่ประกาศกันออกมาก่อน
แห่งแรกที่ประกาศก็คือ บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป หรือ TISCO ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจหลัก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มธุรกิจตลาดทุน...โดยผลการดำเนินงานรวมของบริษัทงวดไตรมาส 1/2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,733.02 ล้านบาท ลดลง 59.56 ล้านบาท หรือ 3.3% จากไตรมาส 1/2566 สาเหตุมาจากการชะลอตัวลงของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงโดยไตรมาส 1/2567 บริษัทมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 1,307.20 ล้านบาท ลดลง 5.5%จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการชะลอตัวของธุรกิจหลักในภาวะที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง
ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักมีจำนวน 1,317.89 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากไตรมาส 1/2566 ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีจำนวน 780.59 ล้านบาท ลดลง 2.5% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากธุรกิจนายหน้า ประกันภัยที่อ่อนตัวลงตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ชะลอตัว สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่หดตัว รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์มีจำนวน 124.30 ล้านบาท ลดลง 33.5% ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ลดลงอย่างมากท่ามกลางความผันผวนของตลาดทุน รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมวาณิชธนกิจลดลงเช่นเดียวกัน มีจำนวน 0.11 ล้านบาท ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานจากธุรกิจจัดการกองทุนมีจำนวน 412.90 ล้านบาท ลดลง 0.8% ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เติบโต 5.4% ตามการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 279.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวน 91.07 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และคิดเป็น 0.5% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย นอกจากนี้มีการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการเติบโตของสินเชื่อในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนสูง และปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 2.27%
ส่วนธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เช่น ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อย ในไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิ 10,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากไตรมาส 4 ปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินรับฝากเพิ่มขึ้นตามการทยอยปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากเมื่อครบกำหนด ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3.06% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการลงทุน ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากบริการประกันผ่านธนาคารและกองทุนรวมเติบโตดีจากไตรมาสก่อน และได้ตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 8,582 ล้านบาท ภายใต้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า ปัจจุบันอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 291.7%
ธนาคารกรุงไทย....มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 11,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และธนาคารกรุงไทยและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่ยังรักษา Coverage ratio ที่ประมาณ 181% ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับเมื่อสิ้นปี 2566 ปัจจุบันสินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับ 98,815 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio) อยู่ที่ 3.14% รายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัว 2.8% โดยมี Cost to Income ratio ลดลงจาก 44.8% ในไตรมาส 4/2566 เป็น 43.6% ในไตรมาส 1 ปี’67
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (หรือธนาคารไทยพาณิชย์) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ของปี 2567 จำนวน 11,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากปีก่อนในไตรมาส 1 ของปี 2567 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 31,761 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% เป็นผลจากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิและรายได้จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมขยายตัว 2.1% จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในธุรกิจสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารไทยพาณิชย์ และการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลบนแพลตฟอร์มดิจิทัลของบริษัทลูกอื่นๆ รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ มีจำนวน 10,178 ล้านบาท ลดลง 7.6% เป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านธนาคาร และรายได้ที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจำนวน 18,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0% จากปีก่อน โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 42.1% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าที่ระดับ 41.0% มีการตั้งเงินสำรองจำนวน 10,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากปีก่อน เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มลูกค้าบุคคลที่มีความเปราะบางอันเนื่องมาจากสภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงระดับสูง โดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 160.6% อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ 3.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.3% ในปีก่อน
ทีเอ็มบีธนชาต มีสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 อยู่ที่ 1,315 พันล้านบาท ชะลอลง 1.0% จากไตรมาสที่แล้ว ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,373 พันล้านบาท ลดลง 1.0% จากไตรมาสที่แล้ว มีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 17,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% จากไตรมาส 1 ปี 2566 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ 5,334 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 4,295 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2566 สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงมาอยู่ที่ 39,759 ล้านบาท ลดลง 3.0% จากสิ้นปีที่แล้ว หรือคิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ที่ระดับ 2.56% เทียบกับ 2.62% ณ สิ้นปีที่แล้ว ธนาคารได้ตั้งสำรองฯ เพิ่มเติมจากระดับปกติ รวมตั้งสำรองฯ ทั้งสิ้นเป็นจำนวน 5,117 ล้านบาท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 7,543 ล้านบาท ลดลง 13.1% จากไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเติบโตที่ 2.7% ส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อรายย่อยจะปรับตัวลดลง ทำให้สินเชื่อรวมลดลง 0.9% จากสิ้นเดือนธันวาคมปี 2566 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.16% เพิ่มขึ้นจาก 3.35% ในไตรมาสแรกของปี 2566 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 26.9% หรือ 2,383 ล้านบาท จากไตรมาสแรกของปี 2566 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.69% เมื่อเทียบกับ 2.53% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ณ สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 626.1 ล้านบาท ลดลงจำนวน 204 ล้านบาท หรือ 24.6% เมื่อเทียบกับผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2566 กำไรก่อนภาษีเงินได้จำนวน 790.2 ล้านบาท ลดลงจำนวน 247.9 ล้านบาท หรือ 23.9% สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของรายได้จากการดำเนินงาน 8.4% และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน 11.8% รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 28.8 ล้านบาทหรือ 1.2% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของเงินรับฝาก รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจำนวน 26.2 ล้านบาท หรือ 8% มาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและบริการ รายได้อื่นลดลงจำนวน 267.7 ล้านบาท หรือ 23.1% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของกำไรสุทธิจากเงินลงทุนและกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนปี 2567 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2566 เพิ่มขึ้นจำนวน 231.7 ล้านบาท หรือ 11.8% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขายและค่าภาษีอากรสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 8.4 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 3.4% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ 3.3% สาเหตุเกิดจากสินเชื่อรายย่อย
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมได้เท่ากับ 1,803 ล้านบาท และงบการเงินเฉพาะกิจการ 1,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2566 เท่ากับ 2.4% และ 7.4% ตามลำดับ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีฐานสมาชิกรวม 3,423,147 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 105,347 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.0%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 2.0% แบ่งเป็นสมาชิกบัตรเครดิต 2,695,453บัตร (เพิ่มขึ้น 4.0%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 69,213 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.3%) NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.2% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรมูลค่า 69,419 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8.5%) สมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 727,694 บัญชี (ลดลง 2.6%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ย ค้างรับรวม 33,149 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.4%) NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.1% และลูกหนี้ตามสัญญาเช่าในบริษัทกรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) 2,985 ล้านบาท (ลดลง 9.6%) เนื่องจากได้หยุดปล่อยสินเชื่อใหม่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 แล้ว ในส่วนยอดลูกหนี้ใหม่ (New Booking) ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 611 ล้านบาท ขยายตัว 82.6%
เชื่อว่าตลอดสัปดาห์นี้(22-26 เม.ย.)จะมีสถาบันการเงินอีกหลายแห่งทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2567 ออกมาอีก...ซึ่งเท่าที่อยู่รายงานนี้สิ่งที่เห็นได้ว่าทุกสถาบันการเงินมีสถานการณ์ที่คล้ายกันคือ รายได้จากดอกเบี้ยลดลง สินเชื่อขยายตัวได้ไม่มากหรือบางแห่งก็ไม่ขยายตัว ด้วยผลทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องมีเพิ่มการตั้งเงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กำไรสุทธิลดลง
อนันตเดช พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี