ll กรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมามีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ต่อปี ต่อไปนั้น ไม่ได้ผิดคาดจากที่ฝ่ายวิจัยของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ และบางธนาคารคาดว่า กนง.จะตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับนี้ตลอดปีนี้ด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม เริ่มธนาคารพาณิชย์อย่างน้อย 2 แห่ง ที่ประเมินว่า กนง.อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก่อนสิ้นปีก็เป็นไปได้ โดย SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดว่า กนง. จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นจังหวะเวลาที่ภาวะการเงินตึงตัวจะเริ่มส่งผลกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงเปราะบาง ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเริ่มปรับสูงขึ้น สำหรับในระยะสั้น SCB EIC มองว่าพัฒนาการเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงต้นปียังเป็นไปตามที่กนง. ประเมินไว้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาสูงกว่ากรอบล่างของเป้าหมายในเดือนพฤษภาคมชั่วคราวโดยส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานราคาพลังงานที่รัฐอุดหนุนไว้ในปีก่อนอีกทั้ง ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MRR เป็นพิเศษเป็นเวลา 6 เดือน สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจเปราะบางได้บางส่วนแล้ว กนง. จึงจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่กลับมาปรับเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมไม่ได้สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตดี เนื่องจากเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดพลังงานและอาหารเป็นสำคัญ หลังรัฐบาลทยอยลดการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมัน อย่างไรก็ดี หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด ยังทรงตัวต่ำที่ 0.39%
นอกจากนี้ SCB EIC ประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบางอยู่มาก โดยเฉพาะภาคครัวเรือน จากข้อมูลการสำรวจเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ล่าสุดในปี 2023 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าครัวเรือนที่เป็นหนี้มีความเปราะบางมากขึ้น สาเหตุหลักจากปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย โดยกลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำประสบปัญหารายได้หดตัว (เทียบปี 2021) ขณะที่กลุ่มครัวเรือนรายได้ปานกลางเริ่มมีรายได้ไม่พอการจ่ายหนี้
มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวเปราะบางในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สูง และคุณภาพสินเชื่อภาคครัวเรือนด้อยลง จึงทำให้สถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อภาคครัวเรือน ส่งผลให้ภาวะการเงินโดยรวมจะยิ่งมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ยิ่งเพิ่มความเปราะบางของเศรษฐกิจ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ภาคเศรษฐกิจบางส่วนยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
SCB EIC ประเมินว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยจะยังฟื้นตัวได้ช้าเนื่องจากยังมีแรงกดดันจากสินค้านำเข้าจากจีน และอุปสงค์ในประเทศต่อสินค้าคงทนที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงกดดันเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้นในระยะข้างหน้า ทำให้ความจำเป็นในการปรับลดดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะช่วงที่ภาคการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากเป็นพิเศษ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะไม่มีผลกระตุ้นการก่อหนี้มากจนน่ากังวลเช่นในอดีต
ดังนั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการลดหนี้ในระบบเศรษฐกิจ (Debt Deleve raging) นอกจากนี้ สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปีจะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะปรับสูงขึ้นมากกว่าที่ กนง. ประเมินในปัจจุบัน ทั้งจากปัจจัยภายนอกที่ไทยอาจได้รับผลกระทบจากการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา การค้าโลกกระทบต่อการส่งออก และปัจจัยภายในจากอุปสงค์ในประเทศที่อาจอ่อนแอลง หากภาวะการเงินตึงตัวขึ้นส่งผลกระทบซ้ำเติมความเปราะบางภาคครัวเรือน
SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปีหน้า (2025) โดยมองว่าเป็นจังหวะเวลาที่ภาวะการเงินตึงตัวจะกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะยิ่งเปราะบางขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะเริ่มปรับสูงขึ้น
Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่ามีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าเนื่องการฟื้นตัวของไทยอ่อนแอและการเติบโตระยะข้างหน้ายังมีจำกัด Krungthai COMPASS คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวเพียง 2.3% ต่ำกว่าการคาดการณ์ของ กนง. ที่ 2.6% จากการส่งออกสินค้าซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ยังฟื้นตัวได้ช้า โดยประเมินว่า การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตได้เพียง 0.5% หลังจากที่หดตัวเมื่อปีก่อน จากการค้าโลกที่อาจฟื้นตัวได้ช้าท่ามกลางแรงกดดันหลายด้านโดยเฉพาะปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์และการแยกขั้ว ประกอบกับสินค้าส่งออกของไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย. 2567 ซึ่งมีมูลค่า 23,279 ล้านดอลลาร์ หากจะทำให้การส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ขยายตัว 0.5% ตามที่ประมาณการไว้ข้างต้นแล้ว มูลค่าการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนจะต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละ 23,964 ล้านดอลลาร์ จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่งคือมูลค่าการส่งออกของไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปียังเติบโตได้ต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค แนวโน้มการส่งออกที่ฟื้นตัวอย่างจำกัดจะเป็นปัจจัยที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้
นอกจากนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่ากำลังซื้อภายในประเทศยังอ่อนแอ สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อหมวดพื้นฐานที่อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉลี่ย 5 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 0.42% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโควิด-19 (ปี 2560-2562) ที่ 0.6% และแม้การบริโภคภาคเอกชนจะเติบโตได้ดีในไตรมาสที่ 1 แต่ส่วนหนึ่งมาจากการใช้จ่ายในหมวดโรงแรมและร้านอาหารตามการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเป็นหลัก ขณะที่การใช้จ่ายในหมวดอื่นยังเติบโตได้ต่ำหรือหดตัว เช่น หมวดยานยนต์ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ โดย4 เดือนแรกของปีหดตัว 23.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) อีกทั้ง มูลค่าโอนที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาสที่ 1 ติดลบถึง 13.4% YoY จากทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุดที่หดตัว สะท้อนว่าอุปสงค์ภายในประเทศยังมีความเปราะบาง
l ธ.ไทยพาณิชย์/ธ.กรุงไทย l
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี