วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 40 ในเดือนกรกฎาคม 2567 ภายใต้หัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยครึ่งปีหลัง” ว่าจากการสำรวจความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 143 ราย ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด เพื่อสะท้อนมุมมองและความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือของปี 2567 รวมทั้งข้อเสนอแนะทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนที่มีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
โดยผู้บริหารกว่า 51.7% คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี (GDP) ขยายตัวต่ำกว่า 2% ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยก็คือการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ การส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2567 รวมถึงมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ขยายตัวในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ผู้บริหารส่วนใหญ่ มองว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ภาครัฐควรปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ และทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อส่งเสริมการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมมากที่สุดรวมถึงพัฒนาระบบการศึกษาและส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน Upskill & Reskill & Newskill ให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมแบบมุ่งเป้าในการผลิต รวมถึงสนับสนุนการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่ความยั่งยืน
ขณะที่การให้ความช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมองว่า ภาครัฐควรส่งเสริมกลไกการจ่ายค่าจ้างแรงงานตามทักษะ (Pay by Skill) แทนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และต้องส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือ Made in Thailand ในภาคเอกชนผ่านมาตรการทางภาษี แก้ปัญหาหนี้สินของเอสเอ็มอีและหนี้ครัวเรือนที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย (NPL) มาตรการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลังส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศและ ต้นทุนการผลิตที่ผันผวนอยู่ในระดับสูงทั้งจากค่าไฟฟ้า พลังงาน ราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่ง สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศและตลาดเป้าหมายของไทยและกำลังซื้อของประชาชนที่ชะลอตัวจากหนี้ครัวเรือนและ NPL ที่อยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ประกอบการเองก็ควรปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นำระบบบริหารจัดการมาช่วยลดต้นทุนการผลิต สร้างเครือข่ายและพันธมิตรเพื่อร่วมกันแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ ตลอดจนขยายตลาดใหม่/ทำตลาด
ในหลายประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว
“ขณะที่ มุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจและยอดขายช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 ส่วนใหญ่มองว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา” หม่อมหลวงปีกทองกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี