สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือนประชาชนและผู้ลงทุนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลวง แอบอ้างเป็นผู้ประกอบธุรกิจชักชวนให้ลงทุน สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูง ปัจจุบันพบว่าภัยหลอกลวงลงทุนได้สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนเป็นมูลค่าสูงมาก และมักมาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์อย่างแนบเนียน ทำให้ผู้ถูกชักชวนหลงเข้าใจผิดว่าเป็นการชักชวนโดยบุคคลหรือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตทั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)จากสถิติการดำเนินการของ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแส ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแส 3,451 ครั้ง โดยมีบัญชีโซเชียลมีเดียเข้าข่ายหลอกลงทุนที่ประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อปิดกั้นจำนวน 1,877 บัญชี โดยปิดกั้นไปแล้ว 99%ที่เหลือเป็นการให้คำปรึกษาในเรื่องการหลอกลงทุนกรณีอื่นๆ
พฤติการณ์หลอกลวงที่พบในระยะนี้เช่นมิจฉาชีพมักยิงโฆษณาในพื้นที่โฆษณาของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆเหมือนกับบริษัททั่วไปที่จะยิงโฆษณาเพื่อกระตุ้นการซื้อในสินค้าหรือบริการโดยภาพและข้อความของโฆษณามักแอบอ้างชื่อ/โลโก้ของบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เพื่อให้ประชาชนหลงเข้าใจผิดและคิดว่าเป็นโฆษณาของบริษัทที่อ้างมา พร้อมข้อความเชิญชวนให้เข้ากลุ่มสนทนาเพื่อรับฟังข้อมูลการลงทุน อาทิ การซื้อขาย Big Lot และเมื่อเข้ากลุ่มมาแล้วหากแสดงความสนใจ มิจฉาชีพจะเข้ามาคุยกับผู้ที่สนใจเป็นการส่วนตัว โน้มน้าวให้ลงทุนพร้อมกับจัดส่งลิงก์หน้าเว็บไซต์จริงของบริษัทที่นำไปแอบอ้างเมื่อถึงขั้นตอนการโอนเงินเพื่อเปิดบัญชีซื้อ-ขายจะส่งลิงก์เว็บไซต์ปลอมและบัญชีธนาคาร (ของเครือข่ายมิจฉาชีพทั้งที่เป็นชื่อบุคคลธรรมดาและนิติบุคล)ที่ไม่ใช่ชื่อของบริษัทที่นำมาใช้แอบอ้าง
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการหลอกลวงที่แนบเนียนขึ้นโดยมิจฉาชีพจะส่งเลขบัญชีโอนเงินที่เป็นชื่อของบริษัทที่นำมาแอบอ้างเพื่อเปิดบัญชีซื้อ-ขายให้กับผู้ที่สนใจ แต่หลังจากนั้นการโอนเงินเพื่อซื้อในครั้งถัดๆไปจะลวงให้โอนเงินค่าซื้อเข้าบัญชีอื่น (ของเครือข่ายมิจฉาชีพทั้งที่เป็นชื่อของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ที่ไม่ใช่ชื่อของบริษัทที่นำมาใช้แอบอ้าง
ก.ล.ต.จึงแจ้งเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังในการรับข้อมูลชักชวนให้ลงทุนโดยเฉพาะผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย อย่าหลงเชื่อเมื่อพบความผิดปกติ และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยมีจุดสังเกต 3 ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้ (1) หากถูกทักส่วนตัวและชักชวนลงทุนในช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่นส่งข้อความในไลน์ส่วนตัว หรือกล่องข้อความส่วนตัวในเฟซบุ๊ก (Messenger) ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ เพราะผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่มักไม่ชักชวนลงทุนในลักษณะส่วนตัวผ่านโซเชียลมีเดีย (2) หากถูกชักชวนโดยอ้างชื่อ/ภาพของบุคคลใดก็ตามในข้อความโฆษณา ให้สงสัยไว้ก่อนและสอบถามด้วยตัวเองกับบริษัทที่ถูกอ้างชื่อเพราะมิจฉาชีพมักจะแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือมีชื่อเสียงรวมทั้งต้องตรวจเช็คด้วยว่าบริษัทนั้นๆ เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ และ(3) ก่อนโอนเงินชำระค่าเปิดบัญชีซื้อขายหรือค่าซื้อต้องตรวจดูชื่อบัญชีธนาคารปลายทางก่อนโอนทุกครั้งว่า เป็นชื่อบัญชีของบริษัทที่ประสงค์จะลงทุนจริงหรือไม่
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษก ก.ล.ต.กล่าวว่าภัยหลอกลวงลงทุนถือเป็นภัยร้ายแรงที่ส่งผลกระทบทางลบต่อประชาชน อีกทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมของประเทศ ซึ่ง ก.ล.ต. ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการ “ป้อง ปราม ปราบ”ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องการเงินการลงทุนรวมทั้งสามารถป้องกันตนเองจากภัยหลอกลงทุน นอกจากนี้ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการป้องปรามอีกด้วย เช่นการปิดกั้นแพลตฟอร์มหลอกลงทุน เป็นต้นเพื่อยับยั้งหรือจำกัดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนไม่ให้ขยายวงออกไปให้มากที่สุด
หากสงสัยสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัท บุคคล ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของก.ล.ต.ที่ www.sec.or.th/seccheckfirst หรือที่แอปพลิเคชั่น “SEC Check First”หากพบเบาะแสเกี่ยวกับการดำเนินการที่น่าสงสัย หรือสงสัยว่าถูกชักชวนหลอกลงทุนโทรขอคำปรึกษาหรือแจ้งเบาะแสได้ที่ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร. 1207 กด 22 หรือ เฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี