แบงก์ชาติอย่าลืมบทเรียน!! 'ประชัย'กางข้อที่18 ฉายภาพชัดๆบทบาทการเมืองกับวิกฤตต้มยำกุ้ง

แบงก์ชาติอย่าลืมบทเรียน!! 'ประชัย'กางข้อที่18 ฉายภาพชัดๆบทบาทการเมืองกับวิกฤตต้มยำกุ้ง

วันเสาร์ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 10.07 น.

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาเปิดเผยบทเรียนข้อที่ 18 ของการเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อ 25 ปีที่แล้ว หลังจากได้เคยสรุปไว้แล้วใน 17 ข้อก่อนหน้านี้

โดยบทเรียนข้อที่ 18 ที่นายประชัย ออกมาชี้นั้น มีรายละเอียดที่น่าสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของการเมืองที่สั่งการ ธปท.เป็นส่วนที่ก่อให้เกิดต้มยำกุ้งดังนี้


1.ในขณะนั้น ธปท.รักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแข็งเกินไป เป็นเหตุให้การส่งออกมีปัญหาดุลการค้าการชำระเงินเงินสำรองเงินตราต่างประเทศมีน้อย ทำให้...

2.อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศสูงกว่าต่างประเทศมาก ทำให้นักลงทุน และนักธุรกิจต้องไปกู้เงินต่างประเทศมาเพื่อลดต้นทุน

3.เงินกู้ต่างประเทศเข้ามามาก ยิ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ส่งออกสินค้าลด นำเข้าสินค้าเพิ่ม เป็นเหตุให้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศร่อยหรอ เศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วในอดีต ทำให้เกิดสภาวะอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นเป็นฟองสบู่แตก ขาดสภาพคล่องภายในประเทศ ดอกเบี้ยเงินบาทสูงกว่าดอกเบี้ยเงินดอลลาร์มาก สถาบันการเงินบางแห่งขาดสภาพคล่องธปท.ออกระเบียบให้มาขอยืมเงินกู้จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน (FIDF) โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็ม 100% และคิดดอกเบี้ยถูกกว่าตลาดการเงิน 1-2% ทำให้สถาบันการเงินแห่ไปกู้ยืมมาเพื่อลดต้นทุน

4.รัฐบาลซึ่งถูกครอบงำโดยผู้ทรงอิทธิพลนักครอบงำ สั่ง ธปท.รักษาเสถียรภาพเงินบาทให้แข็งที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ โดยที่ ธปท.มีเงินสำรองเงินตราต่างประเทศไม่กี่ล้านดอลล่าร์เป็นเหตุใหัผู้ก่อการร้ายกลุ่ม Soros นิวยอร์คเชิญชวนผู้ทรงอิทธิพลไทยที่ครอบงำรัฐบาลและรัฐบาลสิงคโปร์ร่วมมือกันโจมตีค่าเงินบาทอย่างรุนแรงและรัฐบาลไทยสั่งเอาดอลล่าร์ไปสู้ให้เงินบาทแข็ง

ชั่วไม่กี่วัน เงินดอลลาร์ใน ธปท.ก็เหลือไม่ถึง 30,000 ล้านเหรียญ แล้วยังเป็นหนี้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนิวยอร์ค และพวกอีก 30,000 ล้านเหรียญ ทำให้รัฐบาลซึ่งถูกผู้ทรงอิทธิพลครอบงำสั่งประชุม ครม.ฉุกเฉินให้มีมติ ครม.สั่งให้ ธปท.ทำการดังต่อไปนี้

3.1.ลอยค่าเงินบาท ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตามกลไกตลาด (ตามความต้องการของผู้ก่อการร้ายนิวยอร์ค ซึ่งพวกมันก็ปั่นลงมาทะลุ 52 บาทต่อดอลลาร์) แล้วผู้ครอบงำก็ทำกำไรไปเกือบ 80,000 ล้านบาท

3.2.ธปท.ถูกคำสั่งโดยมติครม.(ครอบงำโดยผู้ครอบงำรัฐปัจจุบัน) ให้แช่แข็งสถาบันการเงินไปมากกว่า 55 แห่ง (80%ของสถาบันฯ) อย่างกะทันหันด้วยการใช้ข้ออ้างว่า กู้เงินจากกองทุนฟื้นฟู (FIDF) ทั้งๆที่มี Collateral 100% ของเงินยืม (กฎระเบียบปิดแช่แข็งสถาบันการเงินออกมาโดยมติ ครม.ในวันที่สั่งปิดแช่แข็งสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังตามอำเภอใจหลังมีคำสั่งตามมติ ครม.ให้ปิดและแช่แข็งสถาบันการเงินทันที 55 แห่ง) ทั้งๆที่พวกสถาบันการเงินที่ถูกปิดแช่แข็งไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบเดิมที่มีอยู่พร้อมด้วยธนาคารอีก 4-5 ธนาคารในภายหลังในข้อหาว่ายืมเงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ( FIDF) ทั้งๆที่มี Collateral เต็ม 100% ของเงินกู้ยืม ทำให้การไหลเวียนของการเงินของประเทศชะงักเหมือนการสกัดการหมุนเวียนของโลหิตในร่างกายเพราะเส้นเลือดถูกสกัดกั้นไปกว่า 80 % ในเวลาที่ร่างกายต้องการความช่วยเหลือแล้วหมอใหญ่ (ธปท.)

ล่าสุดนายประชัย ยังได้กล่าวว่า บทเรียนจากต้มยำกุ้งกลับสั่งให้ส่งเข้าห้องดับจิตแช่แข็งร่างกาย ผิดกับที่อเมริกาเวลามีปัญหาเขาให้นำเข้าห้อง ICU และให้ออกซิเจน และเลือด (QE.1,2) ทันที แต่อเมริกาโดย IMF กลับสั่งให้ไทยปฏิบัติตรงข้ามกันเพื่อให้เกิดต้มยำกุ้งให้พวกฉลามนิวยอร์คมาชำแหละอวัยวะของคนเป็นๆไปขายทำกำไร

ในการนี้ รัฐบาลภายใต้การครอบงำของท่านผู้ทรงอิทธิพลยังสั่งให้รัฐกู้เงิน 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐจาก IMF ภายใต้เงื่อนไขมหาโหดให้ประเทศต้องชำแหละอวัยวะของร่างที่ถูกแช่แข็งขายในราคาถูกแบบเศษเนื้อทิ้งให้ผู้ก่อการร้ายนิวยอร์คไปทำกำไรบนสมบัติของชาติ    และนักธุกิจที่ทำงานมาตลอดชีวิต (มันสั่งให้ธนาคารทั่วโลกเรียกเงินกู้ต่างประเทศคืนหมดจากประเทศไทยทำให้ทุกบริษัทเหล่านี้ต้องเข้า Credit Bureau เสมือนเข้าห้องดับจิตใหัมันใช้กฎหมายฟื้นฟู ซี่งมันบังคับให้รัฐบาลไทยออกกฎหมายให้อำนาจเจ้าหนี้เป็นผู้แต่งตั้งผู้ทำแผน/ผู้บริหารแผน มาทำแผนให้เจ้าหนี้อนุมัติมาชำแหละลูกหนึ้ (ผิดกับกฎหมายฟื้นฟูกิจการอเมริกา Chapter11 ซึ่งกำหนดให้ลูกหนี้เป็นผูับริหารแผน/ผู้ทำแผนให้เจ้าหนี้อนุมัติซึ่งทำให้ลูกหนึ้ของพวกเขาสามารถฟื้นฟูกิจการได้โดยง่าย) และเพื่อให้คนไทยต้องปฎิบัติการตามเงื่อนไขมหาโหดอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้  World Bank (ธนาคารโลก) ยังส่งคนไทยลูกน้องของเขามาคุม รมว.คลัง ธารินทร์ ให้ปฎิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด

หลังจากปฎิบัติการต้มยำกุ้งชำแหละร่างไปขายสดๆ และทำกำไรอย่างมหาศาลให้พวกมันโดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้รัฐบาลไทยแม้แต่บาทเดียวสำเร็จ พวกมันรวมทั้ง รมว.คลังไทยและผู้ครอบงำฯ แสดงความยินดีกันอย่างเอิกเกริกคึกโครมมโหฬารในความสำเร็จของพวกมันบนความขมขื่นหยาดเลือดและน้ำตาของคนไทยซึ่งคนไทยคงจะไม่มีวันลืม และถ้าท่านอยู่ทันสมัยนั้นเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ได้สรุปไว้แล้วใน 17 ข้อที่แล้ว โดยมีรายละเอียดที่น่าสังเกตเกี่ยวกับบทบาทของการเมืองที่มีส่วนก่อให้เกิดต้มยำกุ้งดังนี้:

1.ธปท.รักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแข็งเกินไป

2.อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศสูงกว่าต่างประเทศมากทำให้นักลงทุนและนักธุรกิจต้องไปกู้เงินต่างประเทศ

3.เศรษฐกิจขยายตัวเร็วขาดสภาพคล่องภายในประเทศ ดอกเบี้ยเงินบาทสูงกว่าเงินดอลลาร์มาก สถาบันการเงินบางแห่งขาดสภาพคล่อง ธปท.ยอมให้มายืมเงินกู้จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเมือง (FIDF) โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็ม 100% และคิดดอกเบี้ยถูกกว่าตลาดการเงิน 1-2% สถาบันการเงินก็แห่ไปกู้เพื่อลดต้นทุน

4.รัฐบาล (ซึ่งถูกครอบงำโดยผู้ทรงอิทธิพลนักครอบงำ) ได้สั่ง ธปท.รักษาเสถียรภาพบาทให้แข็งที่ 25 บาทต่อคอลลาร์ โดยที่ ธปท.มีเงินสำรองเงินตราต่างประเทศไม่กี่ล้านดอลล่าร์แต่ผู้ก่อการร้ายกลุ่ม Soros นิวยอร์ค มีผู้ทรงอิทธิพลไทยที่ครอบงำรัฐบาล และรัฐบาลสิงคโปร์ร่วมด้วยโจมตีค่าเงินบาทอย่างรุนแรง

ชั่วไม่กี่วันเงินดอลลลาร์ใน ธปท.ก็เหลือไม่ถึง 30,000 ล้านเหรียญ แล้วยังเป็นหนี้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนิวยอร์คและพวกอีก 30,000 ล้านเหรียญ ทำให้รัฐบาลซึ่งถูกครอบงำสั่งให้ธปท.ทำการดังต่อไปนี้

4.1.ลอยค่าเงินบาททำให้อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนลงมาเรื่อยๆจนถึง 52 บาทต่อดอลล่าร์

4.2.ธปท.ถูกคำสั่งนักการเมือง (ครอบงำโดยผู้ครอบงำรัฐปัจจุบัน) ให้แช่แข็งสถาบันการเงินไปมากกว่า 55 แห่ง (80%ของสถาบันฯ ) อย่างกะทันหันด้วยการใช้กฎระเบียบ ซึ่งออกตามอำเภอใจหลังมีคำสั่งตามมติ ครม.ให้ปิดและแช่แข็งสถาบันการเงินทันที 55 แห่งย้อนหลังทั้งๆที่พวกสถาบันการเงินที่ถูกปิดแช่แข็งไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบเดิมที่มีอยู่พร้อมด้วยธนาคารอีก 4-5 ธนาคารในภายหลังทำให้การไหลเวียนของการเงินของประเทศชะงักเหมือนการสกัดการหมุนเวียนของโลหิตในร่างกายเพราะเส้นเลือดถูกสกัดไป 80 กว่า% ในเวลาที่ร่างกายต้องการความช่วยเหลือจากหมอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 17 ข้อที่นายประชัย ออกมาระบุก่อนหน้านั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจ โดยได้แสดงวิสัยทัศน์เรื่อง “ค่าเงินบาท” ระบุว่า... ความเกี่ยวโยงระหว่างดอกเบี้ยเงินบาท/อัตราแลกเปลี่ยน/การดำเนินกิจการ/การว่าจ้างแรงงาน/การจับจ่ายใช้สอยของคนงาน/การค้าการลงทุน/การธนาคาร หนี้สิน/GDP/การลงทุนทางเศรษฐกิจ

GDP = Government Spending (G) + (Export - Import) (DE) + Investment . I + Domestic Consumption (D)

ถ้าดอกเบี้ยเงินตราดอลลาร์ลดลงแต่ดอกเบี้ยเงินบทเพิ่มขึ้น เงินบาทจะแข็งขึ้น อัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์ ถ้าสูงขึ้น 10% และอัตราแลกเปลี่ยนของคู่แข่ง ดอลลาร์ ลดลง 10% รวมแล้วต้นทุนของเราจะสูงขึ้น 20% ราคาสินค้าที่มีต้นทุนเท่ากับคู่แข่งจะแพงกว่าคู่แข่ง 20%ทำให้เราสู้คู่แข่งไม่ได้ ผลทำให้ราคาของสินค้าขั้นปฐมต้องลดลง 20% สินค้าขั้นทุติยภูมิและตติยภูมิต้องเลิกผลิต

1.ทำให้โรงงานปิดหมด (Factory Closures)

2.ทำให้คนงานตกงาน (Unemployment) เพิ่ม

3.คนงานขาดเงินจับจ่ายใช้สอย (Consumption) ลด

4.การลงทุนขยายโรงงานไม่เกิด (No Investment)

5.หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น

6.การธนาคารต้องสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับเงินปล่อยกู้ธนาคารให้สูงขึ้นอีก

7.ธนาคารเลิกปล่อยกู้ให้ NPL's ธุรกิจซบเซาหนักขึ้น

8.รัฐเก็บภาษีเงินได้ , VAT , ค่าธรรมเนียมลดลง ทำให้งบประมาณลดลง

9.Government Spending ถูกตัดให้ลดลง

10.GDP ถูกลดลง

11.เงินสำรองเงินตราต่างประเทศ ต้องลดลง ไปเรื่อยๆ

ถ้ารายได้ Export หายไปมากๆ และโรงงานปิดมากๆ ประเทศต้องนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจ ทำให้ไม่มี เงินสำรอง เงินตราต่างประเทศ พอที่จะออกบัตร ได้อาจจะนำไปสู่ เหตุการณ์ต้มยำกุ้งซ้ำรอย ที่เวิลด์แบงค์ต้องการ เพราะเขาจะได้ ทำสัญญาให้ไทยกู้เงินตราต่างประเทศแล้วรีดไถทรัพย์สิน ตาม เงื่อนไข ในสัญญาที่ เอา สมบัติของชาติยกไปให้ ในราคาถูกให้แก่พวกฉลามนิวยอร์ก ซึ่ง เจ้าของเป็นนายของ World Bank ได้(เรื่องนี้ท่านผู้ว่าฯน่าจะรู้ดีเพราะเป็นผู้ช่วย world bank มาคุมคุณธารินทร์ปฏิบัติตามสัญญา)

12.สำหรับต้มยำกุ้งครั้งที่แล้วอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศของเงินบาทตกลงมามากทำให้การส่งออกการว่าจ้างแรงงาน พืชผลทางการเกษตรราคาดีขึ้น แลกกับ การสูญเสีย ทรัพย์สิน และกิจการ ของ นายทุน เล็กใหญ่ใหญ่น้อยตั้งแต่ SME จนถึง นายทุนใหญ่ทั้งหลายที่ไปกู้ดอลลาร์มา และการที่จะต้อง โอนสมบัติโรงงาน ใหม่ๆไปให้กับ คนต่างชาติในราคาถูก รวมทั้งระบบการธนาคารของประเทศไทยด้วย ซึ่งทำให้ธนาคารของสิงคโปร์ มาเป็นเจ้าของธนาคารใหญ่ๆในประเทศไทย เกือบทุกแห่ง อนึ่งผู้ใช้แรงงาน ไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนมากมายเท่าไหร่เพราะปัจจัยการผลิตโรงงาน เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆมีเทคโนโลยี ที่สูงกว่า เพื่อนบ้าน และสินค้า ก็ขายได้ Export ก็ขายได้เป็นเทน้ำเทท่าแต่ผู้ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุดก็คือนายทุนที่ไปกู้เงินดอลลาร์มาลงทุนใน โรงงานอุตสาหกรรม และ SME ทั้งหลายซึ่งทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว แต่สำหรับ ในครั้งนี้ เหตุการณ์จะไม่เหมือนกันเพราะเครื่องจักรล้าสมัยหมดแล้ว และโรงงานก็ปิดไปมากแล้วเหตุการณ์ก็ได้ยืดเยื้อมานาน หลายปี ตามแผนอเมริกา ซึ่งวางแผน ให้ โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆย้ายไปอยู่ ในประเทศเพื่อนบ้านของเราเช่นเวียดนาม เพื่อที่จะ สร้างแนวต้านทาน อิทธิพลจากจีน หนี้ครัวเรือนก็เพิ่มขึ้น ที่สุดสถานการณ์ก็ฟื้นไม่ได้ ประเทศล่มจมอย่างเดียว

13.ก่อนจะไปถึงข้อ 12 เรายังมีเงินสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ 2 แสนกว่าล้านเหรียญสรอ.และเงินดอลลาร์ล่วงหน้าอีก 8,000 ล้านดอลลาร์ ถ้าผู้ว่าฯเป็นคนไทยไม่อยากให้ประเทศแตกสลายต้องการให้ประเทศไทยเจริญเติบโตประชาชนอยู่ดีกินดีไม่ต้องวิ่งไปของานทำในอเมริกาหรือเวียตนาม ประเทศโชติช่วงชัชวาล

ยังไม่สายเกินไปที่จะเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนให้เงินบาทอ่อนลง 10-20% เป็น ฿38: us$1 ทุกอย่างจะได้กลับมารุ่งเรืองอีกทั้งการว่าจ้างแรงงานการค้าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวการลงทุนการศึกษาการพัฒนาคุณภาพของประชาชนชาวไทยความอยู่ดีกินดีของคนไทย

14.ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถทำให้เงินบาทแข็งที่ 38 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ว่าผู้ก่อการร้ายที่จะมาปั่นค่าเงินบาทให้แข็งยังไงเราก็สามารถที่จะทำให้เงินบาทอ่อนถึงอัตรา 38 บาทต่อดอลลาร์ ได้ง่ายนิดเดียว สมมุติว่าผู้ก่อการร้ายพวกนี้ มันเอาดอลลาร์เข้ามาขาย 1 ล้านล้านเหรียญประเทศไทยก็สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมา 38 ล้านล้านบาท ไปแลกซื้อดอลลาร์ของมันแล้วเราก็เอาดอลลาร์มาเก็บเป็นเงินสำรองเงินตราต่างประเทศเพื่อมาสำรองการออกบัตร 38 ล้านล้านบาทเพื่อเอาไปใช้ซื้อดอลล่าร์จากมัน และถ้ามันเอาเงินมามากกว่านี้ มันก็ยิ่งดี ธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเอามาเป็นเงินสำรองเงินตราต่างประเทศของไทนเป็นดอลลาร์แลกกับเงินบาทที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกบัตร M One Money Supply ให้มันไป

เพราะฉะนั้น ถ้ามันเอาเงินเข้ามา Infinity Dollars เราก็สามารถออกบัตร Infinity Bahts เป็นเงินบาทไทยให้มัน ไม่ต้องกลัวว่าเราไม่มีความสามารถในการป้องกัน ไม่ให้เงินบาทอ่อน ถ้าเราต้องการให้เงินบาทอ่อนมันง่ายนิดเดียวอยู่แล้วที่ 38-40 บาท/ดอลล่าร์ ผลที่ตามมาสำหรับระบบการเงินของประเทศไทยก็คือธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีเงินสำรองเงินตราต่างประเทศขึ้นมามากมาย ซึ่งจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถออกบัตร M1 money supply ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วยและธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถกำไรจากการเพิ่มขึ้นของเงินตราต่างประเทศและเงินบาทที่ออกเพิ่มขึ้น M1 money supply จากดอกเบี้ยทำให้สามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้สภาพคล่อง M2 Money Supply ก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล แล้วแต่นโยบายการคลังจะปล่อยออกมาเท่าไหร่ ผู้ส่งออกก็สามารถส่งออกสินค้าได้ มีกำไรอย่างสบาย การว่าจ้างแรงงานก็จะเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจก็จะรุ่งเรือง โชติช่วงชัชวาลศรีวิไล รัฐบาลจะมีโอกาสใช้เงินพวกนี้เอาไปทำโครงสร้างพื้นฐานให้ชาวไร่ชาวนาสามารถทำการเพาะปลูกต้นทุนถูกลงไปอย่างมากในแง่การทำประโยชน์ให้กับประชาชนรัฐบาลสามารถพัฒนาการรักษาพยาบาลให้เป็นชั้น 1 ของโลก และการศึกษาก็สามารถพัฒนาให้เป็นการศึกษาชั้น 1 ของโลกพร้อมด้วยการศึกษาการวิจัย Research and Development สำหรับวิทยาการใหม่ๆ เป็นแหล่งการศึกษาที่ 1 ของโลกได้อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 60 ปีที่แล้วในขณะที่เงินเยนอยู่ที่ประมาณ 250 ถึง 300 เยน ต่อดอลลาร์ เป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นเจริญเติบโตมากที่สุด ทุกอย่างพัฒนาไปอย่างสวยงาม

จีนก็เช่นกัน ตอนที่จีนมีอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน มีค่าต่ำ เป็นช่วงเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมานี้ก็ทำให้ประเทศจีนเจริญเติบโตมาก ถ้าเราต้องการให้ประเทศไทยเจริญเติบโตเราไม่ควรจะให้ เงินบาทมีอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทแข็งเกินไป อย่างเช่นปัจจุบันนี้ซึ่งจะยับยั้งการเจริญเติบโตของไทยและในทางตรงกันข้ามจะทำให้ประเทศไทยล่มจมฉิบหายกันหมดทั้งประเทศ แต่ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนของ เงินบาทอ่อนไปถึง 38 หรือ 40 บาทต่อดอลลาร์ ประเทศไทยจะอยู่ในสภาวะที่ปรับตัวให้แข็งแรงและก็มีเงินตราต่างประเทศเข้ามามากมายที่จะพัฒนาประเทศได้ ซึ่ง World Bank ไม่สนับสนุนเรื่องนี้เพราะมันเป็นการขัดกับผลประโยชน์ของรัฐบาลอเมริกา ซึ่งต้องการให้ทุกประเทศ ยากจน และต่ำต้อยกว่าคนอเมริกัน

นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังสามารถสั่งให้สมาคมธนาคารและธนาคารทุกแห่งใช้วิธี arbritage ชั่วคราวให้ 1 ดอลลาร์ถ้ามาซื้อขายล่วงหน้าให้แบงค์ชาติแบงค์ชาติจะให้ค่าพรีเมี่ยม เดือนละ 1 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะถึงค่า 40 บาทต่อดอลลาร์แล้วหลังจากนั้นค่อยเปลี่ยน อัตราพรีเมี่ย ต่อไป เพื่อสร้างเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนที่ 38 บาทถึง 40 บาทต่อดอลลาร์

15.ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์อ่อนจนถึง 40 บาทต่อดอลลาร์ น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปได้ และก็ทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองกับประเทศ เพราะมันสามารถแก้ปัญหาตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 11 ได้ถึงระดับดี แต่ว่าถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์ต่ำมากกว่านี้คือ 1 ดอลลาร์มากกว่า 40 บาทอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อมากเกินไปก็ได้

ถ้าเรามองภาพ

1.ค่าเงินบาท

2.ค่าเงินดอลล่าร์

และ 3.พลังสร้างความเจริญรุ่งเรืองอยู่ดีกินดีของประชาชน

เปรียบเทียบกับเขื่อนปั่นไฟฟ้าดังนี้

1.ค่าเงินบาท = ระดับของ turbine ปั่นไฟ

2.ค่าเงินดอลล่าร์ = ระดับของน้ำในเขื่อน

และ 3.พลังสร้างความเจริญบ้านเมืองการอยู่ดีกินดีของประชาชน = พลังงานไฟฟ้าที่ปั่นออกมาเป็นโมเดลของอัตราแลกเปลี่ยน กับ น้ำในเขื่อนไฟฟ้าและการปั่นไฟฟ้า

เราจะเห็นว่า ระดับน้ำในเขื่อนยิ่งสูงเหมือนกับค่าเงินดอลล่าร์ยิ่งสูงกว่าบาท (บาทอ่อน) ก็สามารถปั่นไฟได้ยิ่งมากขึ้น (เพิ่มพลังสร้างความเจริญ) แต่ถ้าระดับน้ำต่ำกว่าระดับของเครื่องปั่นไฟก็จะไม่สามารถปั่นไฟออกมาได้เลย (ความเจริญเติบโตไม่เกิด) ถ้าระดับน้ำ สูงเกินไปหรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอ่อนมากเกินไปก็จะทำให้เกิดน้ำท่วม (เศรษฐกิจเจริญร้อนแรงเกินหรือเงินเฟ้อมากเกินไป) ซึ่งมีผลร้ายก็คือน้ำจะท่วมพืชไร่ต่างๆ ในที่ต่ำ

เพราะฉะนั้น ธนาคารประเทศไทยต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง (optimization  policy) เพื่อคุมระดับ Exchange rate อย่าให้ต่ำเกินกว่า เท่าที่จำเป็นที่ต้องการที่จะเอาพลังออกมาใช้หรือเท่าที่จำเป็นที่เศรษฐกิจของประเทศต้องการตามนโยบายเศรษฐกิจการเมือง (political economics) เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศและความอยู่ดีกันดีของประชาชน

หน่วยราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อเศรษฐกิจการเมืองการคลังของประเทศไทยไม่ควรจะเป็นหุ่นกระบอก หรือ humanoid หุ่นเชิดรับคำสั่งจาก world bank ซึ่งรับคำสั่งจาก รมว.คลัง สรอ.ซึ่งรับคำสั่งอีกต่อหนึ่งจากฉลามนิวยอร์กเพื่อผลประโยชน์ของอเมริกัน เราควรมีระบบการควบคุมระบบการเงินการคลังของเราเอง ใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง (optimization policy) เพื่อความเจริญเติบโตของประเทศ ความอยู่ดีกินดีของประชาชนชาวไทย สร้างแผ่นดินนี้ให้เป็นแผ่นดินรุ่งเรืองศิวิไลซ์อย่างแท้จริง

ข้อ 16. ปัจจุบันนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังอ้างกลไกตลาด ในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลล่าร์ และปล่อยให้ลอยละลิ่วไปตามธรรมชาติของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่ผู้ว่าฯ ได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้ถวายสัตย์ต่อพระองค์ท่านในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนและ GDP Growth 3-10% ตามนโยบายของประเทศ

ดังที่ได้อธิบายในข้อ 1 ถึงข้อ 15 บทบาทและความสัมพันธ์เกี่ยวโยงระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนและกลไกเศรษฐกิจการเงินการคลังพอสรุปได้ว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนการเงินประกอบด้วยคนหลากหลายประเภทไม่ใช่เป็นไปตามธรรมชาติอย่างเดียว ยังมีนักปั่นเก็งกำไรและมีผู้ก่อการร้ายนิวยอร์กที่หวังกำไรระดับประเทศหลายฝ่ายที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน ปะปนอยู่

ข้อ 17.บทสรุปรัฐบาลไทย ในฐานะผู้คุมนโยบายเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงนโยบายการคล้ง (politico economics including fiscal policy) และผู้ว่าแบงค์ชาติในฐานะผู้ควบคุมนโยบายการเงิน (monetary policy) น่าจะถามประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันว่า อยากจะให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็น 38 บาท ถึง 40 บาทต่อดอลลาร์ แทนที่จะปล่อยให้มันแข็งอยู่ที่ 32.40 - 34.0 บาท อย่างทุกวันนี้หรือไม่ เพราะถ้า ธปท.รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 38 - 40 บาท/ดอลลาร์ รัฐบาล และ ธปท.ก็จะสามารถแก้ไขความทุกข์ร้อนของประชาชน และความเสื่อมสลายของบ้านเมือง สร้างความมั่นคงและความเจริญเติบโตของชาติ และความอยู่ดีกินดีของประชาชนได้ ดังต่อไปนี้

1.จะทำให้ราคาพืชผลทางเกษตรเพิ่มขึ้น 10 - 20%

2.จะทำให้สินค้าส่งออก Export สามารถเพิ่มปริมาณส่งออกได้ 10% และมีกำไรในธุรกิจต่างๆ ในขณะเดียวกันก็สามารถลดปริมาณการนำเข้าของสินค้า ซึ่งเป็นคู่แข่งของเราได้โดยไม่ต้องขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ

3.จะทำให้โรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ และไม่มีความจำเป็นต้องปิดโรงงาน แต่มีโอกาสที่จะขยายโรงงานเพิ่มกำลังผลิต

4.จะทำให้คนงานไม่ตกงาน ค่าแรงก็จะทยอยกันเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน

5.จะทำให้ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอยได้ตามอัตภาพไม่ขัดสน และไม่ต้องไปขายบ้านขายช่อง ขายที่ขายนา มาชำระหนี้

6.จะทำให้หนี้ครัวเรือนและหนี้สินบริษัทต่างๆ เป็นหนี้ที่ดี เป็นการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

7.จะทำให้ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้ตามปรกติ และลดดอกเบี้ยให้ลูกหนึ้ได้ เพราะไม่ต้องสำรองหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้

8.จะทำให้โรงงานมีกำไร ผู้ประกอบการมีกำไรก็มีการลงทุนเพิ่มขึ้น การว่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ต่างชาติก็จะแห่ผสมโรงตามมาลงทุนเพิ่มด้วย

9.จะทำให้มีการว่าจ้างแรงงานเพิ่มรายรับประชาชน การจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชนมากขึ้น รัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น ทำให้มีงบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้น

10.Gdp เพิ่มขึ้นเป็น 3 - 10% แทนที่จะเป็น 2.5% ตาม world bank พยากรณ์

11.เงินสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้แบงค์ชาติสามารถตั้งกองทุนพัฒนาประเทศ ให้กู้สำหรับเงินงบประมาณพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ได้ทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองศรีวิลัยเป็นประเทศชั้นนำของโลก ประชาชนอยู่ดีกินดี หากินโดยสุจริตได้โดยไม่ต้องมีมิจฉาทิฐิ

ถ้าประชาชนมีความเห็นต้องการความอยู่ดีกินดี ประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นประเทศชั้นนำของโลก และลูกหลานมีอนาคตที่ดีไม่ต้องไปของานทำที่อเมริกา หรือเวียดนาม รัฐบาลโดย กนง.และธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ต้องมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ไว้ที่ 38 - 40 บาท/ดอลลาร์ ไม่ใช่ปล่อยให้แข็งอยู่ที่ 32.4 - 34บาท/ดอลลาร์ อย่างทุกวันนี้

การรักษาเสถียรภาพของเงินบาทไว้ที่ 38 บาท ถึง 40 บาทต่อดอลลาร์ แทนที่จะเป็น 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็เหมือนกับว่าเป็นการกระจายรายได้ ให้กับประชาชนผู้มีส่วนร่วมในการทำให้การค้าการชำระเงินของประเทศเกินดุล (wealth  distribution) จากเงินที่ผู้จะส่งเงินตราออกไปนอกประเทศ เช่น ผู้นำเข้าสินค้า หรือผู้ว่าจ้างเหมาคนต่างประเทศโดยผ่านระบบการเงิน ที่ ธปท.มีหน้าที่เป็นกรรมการดูแลรักษา เพราะเงินสำรองเงินตราต่างประเทศเหล่านี้ ซึ่งให้พลังกับ ธปท.สามารถรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนได้มาจากการส่งออกสินค้า การให้การบริการชาวต่างชาติ การชักชวนให้ต่างชาติมาลงทุน ซึ่งล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงงานมันสมองความสามารถของคนไทย ที่ทำให้เกิดผลการค้าและการชำระเงินเกินดุล กลายมาเป็นเงินสำรองเงินตราต่างประเทศในรูปของดอลลาร์ หรือทองคำ มอบให้ ธปท.ดูแลตามกฎหมาย แต่เมื่อทรัพย์สมบัตินี้มีมากขึ้นถึงสองแสนหกหมื่นล้านเหรียญ หรือ 8.7 ล้านล้านบาท - 10.4 ล้านล้านบาท (33.5 บาท - 40 บาท/ดอลลาร์) หรือ 60% ของ gdp กลับมาทำร้ายประชาชนผู้มีพระคุณ โดย World Bank สั่งให้ ธปท.ผู้มีหน้าที่เฝ้าดูแลเสถียรภาพเงินบาทปล่อยให้บาทแข็งตามหลักกลไกตลาดของ commodity trading เป็น 32.4 บาท/ดอลลาร์ เพื่อไม่ให้ไทยดีกว่าชาติอื่นที่เขาต้องการสนับสนุน เช่น เวียดนาม แต่มันจะทำให้ไทยตกต่ำ และประชาชนผู้มีส่วนร่วมทำให้เงินเกินดุลเดือดร้อนอย่างทุกวันนี้ ฉะนั้น ธปท.ควรดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้สามารถผลิตสินค้าแข่งขันกับต่างชาติได้ เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจการเงิน เป็นประเทศชั้นนำของโลก แทนที่จะมาทำร้ายคนไทยด้วยกัน ทำให้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศร่อยหรอไปพร้อมกับความเดือดร้อนของคนไทยและความเสื่อมโทรมของประเทศ

นายประชัย ยังระบุว่า ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะถือโอกาสที่เมืองนอกดูแล้วว่าการเมืองไทยจะย่ำแย่ ควรจะปล่อยให้ค่าเงินบาทลด ค่าเงินบาทลงไปเป็น 38 - 40 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจไทยดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเป็นปรกติ ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องการส่งออก และจะได้นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะว่าเศรษฐกิจไทยจะได้ดำเนินไปอย่างรุ่งโรจน์ศิวิไลซ์ และก็ไม่ต้องมีการปิดโรงงาน ทุกคนมีกำไร คนงานไม่ต้องตกงาน ทุกคนมีเงินใช้ เงินสะพัด การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ไม่ต้องไปขายที่ขายนามาชำระหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีเงินสำรองต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิมพ์ธนบัตรได้มากขึ้น สามารถสร้างกองทุนพัฒนาประเทศได้มากขึ้น ให้รัฐบาลกู้ยืมไปพัฒนาประเทศได้ในดอกเบี้ยถูก 1 หรือ 2% ต่อปี

"ส่วนเรตติ้งของประเทศก็จะดีขึ้น เพราะเราจะมีเงินเกินดุล ทั้งการค้าระหว่างประเทศ และดุลการชำระเงินของรัฐบาล ซึ่งผิดกับประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ขาดดุลหมด แต่เรตติ้งเป็น super A ขณะที่เรตติ้งของประเทศไทยเป็น แค่ BBB+ เพราะคนทำเรตติ้งเป็นลูกน้องของประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปห่วง ตราบใดที่เรามีเงินสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ใช่ยาจก ต้องไปกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือเป็นขี้ข้าของธนาคารโลก (world bank) แล้วต้องไปรับฟังคำสั่งของเค้า ตามเงื่อนไขเงินกู้เหมือนสมัยต้มยำกุ้ง หวังว่าทุกท่านยังคงจำได้"นายประชัย ระบุ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top