nn นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า ปี 2568 อุตสาหกรรมธนาคารยังพบกับความท้าทาย 3 ด้านใหญ่ๆ กล่าวคือ 1.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง โดยคาดการณ์เติบโตของ GDP อยู่ที่ 2.4% 2.ระดับหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังสูงซึ่งเพิ่มความท้าทายในธุรกิจสินเชื่อมากขึ้น และ 3.เทรนด์ AI และกฎกติกาด้าน ESG ยังคงมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเกิดขึ้นของธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศผู้ที่ได้ใบอนุญาต Virtual Bank อย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 2 ของปี 2568 จะเป็นอีกจุดเปลี่ยนที่สำคัญในระบบการเงินของไทย
สำหรับแผนงานของธนาคารใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2568-2570) ธนาคารจึงได้วางแผนปรับทิศทางธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch โดยมุ่งสร้างการเติบโตธุรกิจและพัฒนากระบวนการภายใน (Scale & Operate) ให้เป็นธนาคารดิจิทัลที่เหนือกว่าทั้งเทคโนโลยีและบริการ เพื่อเป็นรากฐานไปสู่องค์กรยั่งยืนจากนี้ จึงเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกับความท้าทายใหม่ที่จะเกิดขึ้น โดยจะให้ความสำคัญกับการสร้างคุณภาพใน 3 ส่วน ได้แก่ การมอบคุณภาพให้ลูกค้าด้วยบริการที่ตรงใจ การยกระดับคุณภาพขององค์กร และการสร้างพนักงานที่มีคุณภาพ ผ่านการปรับโครงสร้างและวิถีการทำงาน สร้างความสามารถในการแข่งขัน พร้อมพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
ทั้งนี้ธนาคารจะต้องดำเนินการบน 3แนวทาง คือ 1.ปรับโครงสร้างการดูแลลูกค้าโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง โดยควบรวมช่องทางให้บริการ พัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกันเพื่อมอบประสบการณ์ไร้รอยต่อให้เกิดขึ้นจริง ทั้งยังสร้างความคล่องตัวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม 2.วางรากฐานดิจิทัลให้แข็งแกร่ง เร่งเสริมความสามารถทางด้าน Digital และ AI ให้ครอบคลุมทั้งองค์กร และแบ่งทีมดิจิทัลเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน AI & DATA Intelligence (Center of Excellence : COE) เป็นศูนย์กลางสนับสนุนการพัฒนาทางด้านดิจิทัลโดยเฉพาะ และอีกส่วนหนึ่งจะถูกจัดลงสู่ทีมธุรกิจเพื่อส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินของแต่ละกลุ่มธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างแท้จริง และ 3.เสริมศักยภาพในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ ภายใต้โจทย์ เร็ว ดี มีนวัตกรรมเพื่อให้รูปแบบการทำงานแบบใหม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริง และไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบเฉพาะบุคคล (Hyper-personalization)
“ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและธุรกิจที่มีความท้าทาย ธนาคารต้องเร่งเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันเพื่อสร้างการเติบโตของกำไรอย่างยั่งยืน ความสำเร็จที่เราเป็นในวันนี้อาจไม่เพียงพอต่อการเป็นผู้นำในวันข้างหน้า ดังนั้น เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันในอนาคต ธนาคารไทยพาณิชย์จึงต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้เรายังคงวิ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและเป็นผู้นำต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายในการนำยุทธวิธี AI-First Bank มาเป็นเครื่องยนต์หลักในการยกระดับธนาคารสู่ “ธนาคารแห่งอนาคต” ด้วยการนำ AI เข้ามาขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างสมบูรณ์ และมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงสร้างความพึงพอใจ แต่ต้องสามารถคาดการณ์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้าได้แบบรายบุคคล รวมถึงการนำ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและเตรียมความพร้อมของบุคลากร และสร้างไทยพาณิชย์ให้เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น” นายกฤษณ์ กล่าว
ทั้งนี้การดำเนินงานตามกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch สร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง และสามารถพิชิตทุกเป้าหมายที่วางได้ โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2567 ธนาคารไทยพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 3.85 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (yoy) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโต 3.1%yoy รายได้จากธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งเติบโต 19%yoy อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ระดับ 12.1% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ (Domestic Systemically Important bank : D-SIBs) มีต้นทุนต่อรายได้ที่ 36.7% ต่ำที่สุดในระบบ D-SIBs นอกจากนี้ในเรื่องความยั่งยืนนั้น ธนาคารไทยพาณิชย์ตอกย้ำ บทบาทพันธมิตรในการพาลูกค้าทุกกลุ่มเร่งปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนกว่า 1.34 แสนล้านบาท (ณ พ.ย. 2567) จากเป้าหมาย 1.5 แสนล้านบาทในปี 2568
จากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 แสดงให้เห็นพัฒนาการทางด้านดิจิทัลแบงก์ ด้วย 5 ผลงานสำคัญ ได้แก่ 1.รายได้จากช่องทางดิจิทัลต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นสู่ 15% จาก 7% ณ ปลายปี 2566 2.นำการใช้ AI ครอบคลุมมิติสำคัญของธนาคาร อาทิ การใช้ AI อนุมัติสินเชื่อ 100% และเพิ่มขีดความสามารถด้าน การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการแบบเฉพาะบุคคล (Hyper-personalization) รวมถึงการใช้ AI เสริมประสิทธิภาพให้กับพนักงานดูแลลูกค้าและบริการสาขา เป็นต้น 3.การเปลี่ยนกระบวนการจากระบบมือสู่อัตโนมัติได้มากกว่า 1,000 กระบวนการ 4.การเพิ่มเสถียรภาพให้แก่ SCB EASY ซึ่งสามารถลด Downtime จาก 4 ชม. ในปี 2566 เป็น 1 ชม. ในปีนี้ และ 5.การวางรากฐานการเป็นธนาคารแห่งอนาคต ด้วยการลงทุนระบบหลักของธนาคาร (Core Bank) บนระบบคลาวด์
ขณะที่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ได้สร้างผลงานโดดเด่นเชิงประจักษ์อย่างมาก โดยรายได้การบริหารความมั่งคั่งเติบโต 19%yoy ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการในส่วนของการลงทุน (Asset Under Advisory) เติบโต 11% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่เติบโต 1.5% นอกจากนี้ ธนาคารยังครองอันดับหนึ่งสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการประเภทอนุพันธ์แฝง (Structured Product) ครองอันดับหนึ่ง Wealth Lending และรักษาอันดับหนึ่งยอดประกันผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านธนาคาร (Bancassurance) ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 23%
“ธนาคารยังคงมุ่งรักษาผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ให้อยู่ในระดับสองหลักต่อเนื่อง รวมถึงตั้งเป้าหมายเป็นอันดับหนึ่งด้าน Wealth Wallet Share ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ดิจิทัลแตะ 25% ของรายได้รวมในปี 2568 จากสิ้นปีนี้ที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับ 15% และเดินหน้าปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance)ให้ได้ตามเป้าหมายที่ 150,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 130,000-140,000 ล้านบาท ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์ถือเป็นธนาคารที่มี ROE และ SME สูงเป็นอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรม และเราพยายามที่จะรักษาระดับที่หนึ่งเอาไว้ให้ได้ แล้วเราพยายามที่ผลักดันอีก 2 กลุ่ม คือ Wealth และดัชนีชี้วัดความพึงพอใจและความผูกพันกับแบรนด์ของผู้บริโภค (NPS Score) ให้ขึ้นสู่อันดับ 1 เช่นกัน”
สำหรับการให้ใบอนุญาตธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) นั้น ธนาคารไทยพาณิชย์มีการเตรียมพร้อมตัวเองให้มีภูมิคุ้มกันมากขึ้น โดยการนำดิจิทัลเข้ามาช่วยในกลุ่มลูกค้ารายเล็ก และใช้พนักงานบริการลูกค้าที่คุณค่าทางเศรษฐกิจมาก รวมถึงการบริหารจัดการ Cost to Income ให้อยู่ในระดับต่ำลงให้ใกล้เคียงกับ Cost to Income เฉลี่ยของ Virtual Bank ที่ระดับประมาณ 30% ให้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจจะต้องใช้เวลาและมีความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากในระยะต่อไปธนาคารยังต้องมีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีเพิ่มเติมอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการระบยปฏิบัติงานหลัก (Core Banking System) ระบบ AI การพัฒนาศักยภาพบุคลากร รวมถึงระบบคลาวด์ตามแผนของบริษัทแม่ เป็นต้น
“การมาของ Virtual Bank นั้น เรามองว่าปัจจุบัน 90% Virtual Bank ยังขาดทุน และในสภาวะที่หนี้ครัวเรือนของไทยสูงขนาดนี้ 89% ถ้ารวมนอกระบบกว่า 100% ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังมีปัญหาเชิงการเพิ่มรายได้ แล้ววัตถุประสงค์ที่จัดตั้ง Virtual Bank ขึ้นมาก็เพื่อรองรับกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อนั้นจะสามารถทำได้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ขนาดไหน เช่นเดียวกันว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะซีเรียสกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งดังกล่าวขนาดไหน หากไม่ซีเรียสการแข่งขันจะขยับเข้ามาใกล้ธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเร็วขึ้น แต่ถ้าซีเรียสเราจะมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นซึ่งปัจจุบันเราเองเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี