มุมมองนักบริหาร : ถึงเวลา‘ข้าวไทย’ต้องเปลี่ยน

มุมมองนักบริหาร : ถึงเวลา‘ข้าวไทย’ต้องเปลี่ยน

วันจันทร์ ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2567, 00.41 น.

ll เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสิ่งแวดล้อม กฎระเบียบและมาตรฐานต่างๆ “ข้าวไทย” ที่เคยอุ้มชูเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ต้องปรับตัวรับมืออย่างไร? ซึ่งงาน Thailand Rice Fest 2024 เปิดเวทีเสวนา “นโยบายข้าวไทย กับเมื่อโลกเปลี่ยนข้าวต้องปรับ” สะท้อนมุมมองการสร้างคุณค่าให้ข้าวไทย เพื่อคว้าโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล อดีตผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดมุมมองว่า เรื่องข้าวเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มีกลุ่มคนเกี่ยวข้องจำนวนมาก และแต่คนไม่ได้มองเป้าหมายเดียวกัน จึงต้องมองในภาพใหญ่ เพื่อสร้างสมดุลความสัมพันธ์ให้ดี ไม่ใช่มองแค่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งในเชิงทฤษฎีเป็นบทบาทของภาครัฐ แต่สำหรับประเทศไทยรัฐบาลเปลี่ยนบ่อย ดังนั้น ข้าราชการที่อยู่มานานจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางข้าวในระบบเศรษฐกิจของไทย โดยการปรับตัวของข้าวไทยเป็นโจทย์ใหญ่มาก มองว่าสิ่งสำคัญคือต้องมีการพูดคุยกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อหาเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน เพราะหากภาพใหญ่ไม่ชัด ซึ่งจะทำให้งานวิจัยเดินไปในทิศทางที่สอดรับกัน


การสนับสนุนเกษตรกรเป็นบทบาทของหลายหน่วยงานที่ต้องร่วมมือกัน และต้องทำงานในหลายมิติ ซึ่งการปรับตัวของเกษตรกรต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีมาตรการต่างๆ มากมายที่ต้องไปคิดร่วมกันในเชิงลึกหลังจากที่ได้เป้าหมายชัดเจน ทั้งเรื่องมาตรฐานทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการทางกฎหมาย และที่สำคัญคือ มาตรการสนับสนุนที่มีเงื่อนไขให้เกษตรกรปรับตัวสู่เป้าหมายร่วมกันอย่างจริงจัง รวมถึงการสนับสนุนทางด้านองค์ความรู้และนวัตกรรมที่มีอยู่จำนวนมาก แต่ยังขาดการเชื่อมต่อไปสู่การนำไปใช้จริง ดังนั้น ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อน

นอกจากมองหากลไกอื่นๆ มาสนับสนุนการทำงานของเกษตรกรแล้ว ภาครัฐต้องขับเคลื่อนข้าวไทยอย่างมีกลยุทธ์ มีการวางตำแหน่งของข้าวแต่ละกลุ่ม ตามพื้นที่การปลูก สภาพอากาศ คุณภาพมาตรฐาน คุณค่าทางการตลาด ต้นทุน รวมทั้งการปรับตัวต่างๆที่ถูกนำไปใส่ไว้ในการออกแบบ โดยประเทศไทยควรเลิกมองเรื่องความสามารถในการแข่งขันได้แล้ว เพราะการส่งออกข้าวเติบโตได้ดีจนเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในช่วงที่ผ่านมาได้รับอานิสงส์จากนโยบายของประเทศคู่ค้า และปัญหาภายในของประเทศผู้ผลิตรายอื่น ซึ่งปัจจุบันกลับมาใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ในการแข่งขัน และไทยสู้ไม่ได้จริงๆ ดังนั้น ต้องคิดหาวิธีเพิ่มคุณค่าทำให้ข้าวไทยมีคุณภาพมากขึ้น เจาะตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Niche Market)

“เส้นทางของข้าวมีเส้นทางอื่นในการสร้างรายได้ ไม่ใช่แค่ใช้ประโยชน์จากการซื้อขายข้าว สามารถเป็นฟังก์ชั่นนอล ฟู้ด เป็นสารสกัด
หรือเป็นคอสเมติกก็ได้ รวมถึงนำการผลิตข้าวมาเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทำให้ผู้บริโภคเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางด้านอาหาร เรื่องสุขภาพ และเรื่องสิ่งแวดล้อม ตลอดจนวิถีวัฒนธรรม การพัฒนาเชิงบวก เป็นรายได้แหล่งที่ 3 ดังนั้น เราต้องกำหนด
เป้าหมาย และวาง position ของข้าวให้ชัดว่าเรากำลังมองข้าวในบทบาทที่หลากหลาย เพื่อให้
ข้าวสามารถทำหน้าที่ได้หลากหลายอย่างแท้จริง ก็จะเป็นโอกาสของข้าวในการเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางความท้าทายของโลกที่เปลี่ยนไป”

ขณะที่ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา ที่ปรึกษาและนักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า โลกมีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ 10 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง ทำให้นโยบายของหลายประเทศเปลี่ยนไป โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมจะเป็นนโยบายสำคัญของอนาคตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดมาก และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรด้วย โดยปัญหาของประเทศไทยเรื่องเทคโนโลยีคือไม่ได้ดำเนินการจริงจังอย่างเป็นระบบ

“ข้าวไทยติดกับดักความภูมิใจความเป็นเบอร์หนึ่ง จึงไม่ได้คิดปรับเปลี่ยนนโยบาย ซึ่งเวลานี้ถ้าจะมองข้าวเป็น mass production มองข้าวเป็นพลังงานหลักแค่ท้องอิ่มอย่างเดียวก็อาจไม่ใช่อนาคต เพราะข้าวมีคุณค่ามากๆ โดยเฉพาะในแง่ของโภชนาการ ทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร ผมมองว่าถ้าการเป็นข้าวคุณภาพแล้วอันดับการส่งออกอาจถอยลงมาบ้างก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องทำงานเพิ่มเติมในหลายๆ เรื่อง เช่น เมื่อพูดถึง soft power อาจแต่งเรื่องราว ทำ story ให้มากขึ้นว่าข้าวไทยเป็นจิตวิญญาณของคนไทย มีบทบาททั้งเชิงวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้มีเอกลักษณ์ หรืออาหารไทยต้องกินกับข้าว และสิ่งที่เราอยากให้เป็นคือ ข้าวเป็นหนึ่งของการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน”

การวางแผนพัฒนายุทธศาสตร์ข้าว ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน และที่สำคัญต้องมองในภาพใหญ่ ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มเดียว ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน โดยที่ผ่านมาการวางแผนพัฒนาของประเทศไทยจะมีเป้าหมายแบบคลุมเครือ นอกจากนี้ นโยบายที่กำหนดออกมาต้องสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง โดยส่วนตัวมองว่า BCG Modelคือการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม 3 เศรษฐกิจทั้งเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เป็นแนวทางที่ดี เพราะเป็นการบูรณาการทั้งห่วงโซ่คุณค่า ครบในมิติของเศรษฐศาสตร์ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม

อนันตเดช พงษ์พันธุ์

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top