นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การค้าของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยมีการขยายตัวในทิศทางเดียวกับตลาดโลก จากการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการเฟื่องฟูของการค้าออนไลน์/พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยไทยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ในอันดับ 18 ของโลก ด้วยมูลค่า 2,590 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.58% จากปีที่ผ่านมา และไทยมีการส่งออกเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์
อย่างไรก็ตามปัจจุบันอุตฯเครื่องสำอางทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความต้องการแตกต่างจากเดิม ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์แนวโน้มของเครื่องสำอางที่มาแรงในอนาคตไว้ 4 ประการ ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสารสกัดธรรมชาติ,2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ Anti-aging, 3.ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย และ 4.การเสนอผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคลด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ
“เครื่องสำอางไทยเป็นหนึ่งในอุตฯที่มีการเติบโตอย่างมาก ได้รับความนิยมทั้งจากผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไทยต้องรักษาฐานความนิยม โดยต้องมีการเสริมจุดแข็ง อาทิ ดึงจุดเด่นที่มีการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ และขจัดจุดอ่อน อาทิ ผลักดันให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากขึ้น เพิ่มช่องทางการขายใหม่ๆทั้งตลาดออนไลน์ ขายผลิตภัณฑ์ในโรงแรมและที่พัก รวมทั้งคำนึงถึงความท้าทายในการแข่งขันของสินค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตฯเครื่องสำอางในเอเชีย”นายพูนพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ สนค. จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนอุตฯเครื่องสำอางไทย ดังนี้ 1.ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศของผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะพืชพรรณหรือสมุนไพรไทย เพื่อสร้างอัตลักษณ์ด้านการเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ พร้อมผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ไทยเป็นที่รู้จักทั้งจากผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยว และขยายโอกาสในการส่งออกต่อไป
2.สนับสนุนให้จดสิทธิบัตรสูตรผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมใหม่ รวมถึงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของแบรนด์ โลโก้ และตราสินค้า เพื่อความเป็นเจ้าของในการครอบครองสิทธิในการผลิตและจำหน่าย ควบคู่กับการป้องกันการละเมิดและลอกเลียนแบบ, 3.ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านการให้คำปรึกษาและแนะนำแนวทางการดำเนินธุรกิจ
4.เพิ่มช่องทางการรับรู้สำหรับทำการตลาดและจัดจำหน่าย ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ การจัดงานแสดงสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขาย พร้อมสนับสนุนให้เกิดการเจรจาทางธุรกิจกับผู้ประกอบการในต่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่ความร่วมมือทางการค้าและกระจายสินค้าไปต่างประเทศ
5.เร่งผลักดันการส่งออกไปสู่ตลาดใหม่ๆอาทิ ประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งมีความต้องการเครื่องสำอางคล้ายกับไทยจากสภาพอากาศที่ใกล้เคียงกัน ควบคู่กับส่งเสริมให้ผู้ประกอบการศึกษาและทำความเข้าใจการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ข้อตกลงทางการค้า (FTA) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า FTA มากขึ้น
6.ผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายของอุตฯเครื่องสำอางให้ครบวงจร เพื่อสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่การผลิตและเชื่อมโยงเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น,7.สร้างมาตรฐาน รางวัล ทั้งจากกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า และสร้างความได้เปรียบทางการค้า และ 8.มุ่งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม รวมถึงศึกษาเทคโนโลยีการผลิตเครื่องสำอางของประเทศผู้นำด้านการส่งออก เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ และปรับใช้เทคโนโลยีให้เหมาะกับการผลิตเครื่องสำอางไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี