นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วย นายกิตติพงษ์ บุรณศิริ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ และทีมงาน ได้ร่วมหารือกับ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลล์ จำกัด นำโดย นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด และ นายทาคาชิ มิยาจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง พร้อมทีมงาน
โดยได้ร่วมประชุมและหารือถึงแนวทางการสนับสนุนสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์อุตสาหกรรมการผลิต ทิศทางด้านตลาดรถกระบะ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะของ บสย.
ทั้งนี้ปัจจุบัน บสย. สามารถค้ำประกันสินเชื่อลีสซิ่งกับสถาบันการเงิน และ Non-Bank ที่สถาบันการเงินถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50% ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บสย. ได้เตรียมออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อรถกระบะคันใหม่เพื่อใช้ในการทำธุรกิจ ขนส่งและค้าขาย หรือการใช้เชิงพาณิชย์ รวมทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินเพิ่มอัตราการอนุมัติสินเชื่อ (Approval rate) ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย.
นอกจากนี้ยังเป็นการขานรับนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดเล็ก และกระตุ้นตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ซบเซาให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดปี 2568 นี้
นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกับ บสย. โดยเฉพาะการเข้ามาค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับสถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง และจะช่วยให้ภาพรวมตลาดรถกระบะขยายตัวขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทยโดยรวมหดตัว ทั้งในแง่การผลิตเพื่อขายในประเทศและการผลิตเพื่อการส่งออก โดยในเดือนมกราคม 2568 รถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดผลิตทั้งหมด 70,604 คัน ลดลง 18.65% จากช่วงเดียวกันของปี 2567
ทั้งนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมา การผลิตเพื่อขายในประเทศและการส่งออกสัดส่วนอยู่ที่ 50:50 แต่ในปี 2567 พบว่าตลาดในประเทศหดตัว ทำให้การผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงเหลือ 31% และส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 69% ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะรถกระบะ 1 ตัน ที่เป็นฐานการผลิตใหญ่ที่สุดของโลก ยานยนต์มีสัดส่วนต่อ GDP ไทยถึง 18% (ข้อมูลปี 2566 จากสถาบันยานยนต์) และมีการจ้างงานกว่า 850,000 ตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
“ปัจจุบันยอดผลิตรถยนต์รวมทุกประเภทจากฐานการผลิตของไทยมีจำนวน 1.477 ล้านคัน (ขายในประเทศ+ส่งออก) เป็นสัดส่วนการผลิตรถกระบะ 1 ตัน เกือบ 50% หรือกว่า 7.3 แสนคัน นั่นหมายความว่า รถกระบะยังเป็นโพรดักส์ แชมมเปี้ยน ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สำหรับอีซูซุ และผู้ผลิตรถกระบะรายอื่นๆ ปัจจุบันมีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ หรือ Local content มากกว่า 90% แสดงให้เห็นว่าการผลิตรถกระบะทั้งซัพพลายเชนอยู่ที่ไทย ดังนั้นไทยคือฐานผลิตใหญ่ที่สุดในโลก”นายวิชัย กล่าว
อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถกระบะหดตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2566 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 28% ส่งออก 72% และปี 2567 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 20% การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 80% และในปี 2568 นี้ แนวโน้มตลาดยังคงซบเซาต่อเนื่อง แต่เมื่อภาครัฐมีมาตรการด้านการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. ก็เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้น
-033
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี