นางสาวสุรียส โควสุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ UBE ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า UBE Group ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนนับตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจและยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีความมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) ด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สู่ชั้นบรรยากาศทุกกระบวนการดำเนินงาน เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพราะตระหนักว่าการลดก๊าซเรือนกระจกนอกจากเป็นภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม ยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุนทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและสร้างความมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว

ล่าสุด บริษัทฯ ได้รับใบรับรอง มาตรฐาน ISO 14064-1 : 2018 จาก SGS United Kingdom Ltd และมาตรฐาน Carbon Footprint for Organization จากบริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย ) จำกัด ซึ่งมีนางปราณี รุ้งมโนชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย ) จำกัด ให้เกียรติเป็นผู้มอบ โดยบริษัทฯ เป็นรายแรกที่ได้รับมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 ของกลุ่มอุตสาหกรรมเอทานอล สะท้อนถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change และการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว โดย ISO 14064-1 เป็นมาตรฐานระดับสากลที่ว่าด้วยการรายงานและการตรวจสอบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมขององค์กร ซึ่งบริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ หรือ “UBE Groupได้จัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint of Organization : CFO) เพื่อแสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ  ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 และบรรลุเป้าหมายได้รับการรับรองในเดือนมีนาคม 2568

นอกจากนี้ ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า UBE Group ยังคงเดินหน้าพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการการบริหารจัดการพลังงาน การลดการใช้น้ำ และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) อย่างเป็นระบบ ทั้งในส่วนของกระบวนการผลิตเอทานอลและกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าองค์กรได้ผนวกเอาหลักการความยั่งยืนเข้าสู่กระบวนการดำเนินงานในทุกภาคส่วน ทั้งด้านการผลิต การใช้ทรัพยากร หรือการลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตในปี 2568 ไม่ต่ำกว่า 3% จากปี 2567 

“การที่บริษัทฯ ได้รับรองมาตรฐาน ISO 14064-1 : 2018 ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความสำเร็จแต่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เนื่องจากมาตรฐานดังกล่าวจะช่วยให้องค์กรมีการจัดการก๊าซเรือนกระจกที่เป็นระบบและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจ ลดความเสี่ยง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ ที่วางเป้าหมายชัดเจนในการบรรลุการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ขององค์กรต่อไปในอนาคต เพื่อส่งมอบอนาคตที่สะอาดและยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไป” นางสาวสุรียส กล่าว

- 030