นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือBKA เปิดเผยว่าธุรกิจบ้านมือสองเป็นธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีบ้านมือสองยังขายดีเพราะเป็นราคาที่กลุ่มลูกค้าที่อยากมีบ้านเข้าถึงได้ซึ่งในปี 2567 ยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง(อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์หรือ REIC) สำหรับกลุ่มบ้านระดับราคา 3 -7.5 ล้านบาท เติบโตถึง 20%ประกอบกับสถานการณ์แผ่นดินไหวทำให้ความต้องการจากกลุ่มคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างตัดสินใจซื้อหันกลับมาสนใจโครงการบ้านแนวราบมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทเชื่อว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การขยายธุรกิจภายหลังจากการระดมทุน โดยเม็ดเงินที่ได้รับ 108 ล้านบาท บริษัทใช้หมุนเวียนและต่อยอดเพื่อขยายพอร์ต Flipping เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านมือสองที่มีศักยภาพการเติบโตจากสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) อยู่ในระบบจำนวนมาก ซึ่งคุ้มค่าต่อการลงทุน หลังจากการนี้บริษัทสามารถเข้าลงทุนซื้อทรัพย์ประเภท NPA จาก AMC ได้เพิ่มประมาณ 70-80 หลังต่อปี และจะเจาะตลาดในพื้นที่กรุงเทพชั้นในเพิ่มขึ้น มุ่งเน้นสินค้า  บ้านเดี่ยวมือสองตกแต่งใหม่ ที่ระดับราคาตั้งแต่ 5-10 ล้านบาทเป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่ม ที่มีดีมานด์สูงมีความมั่นคงทางการเงิน สอดรับกับการตั้งเป้ารายได้รวมที่บริษัทตั้งไว้ว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% ต่อปี และจะเริ่มเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

บริษัทสร้างการเติบโตผ่านการใช้ 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1.การขยายพอร์ต ในฝั่งกรุงเทพตะวันตก (นนทบุรี) ซึ่งเป็นโซนหลักที่บริษัทมีความชำนาญ  และ 2.การขยายพอร์ตเข้าเมืองกรุงเทพมากขึ้น อาทิ โซนลาดพร้าว, บางกะปิ, รามคำแหง และสวนหลวง เป็นต้น เพราะเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวมีกำลังซื้อสูง อีกทั้งเป็นการกระจายพอร์ตรายได้ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่รอบกรุงเทพฯ