การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป กำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญจากเหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ในประเทศสเปน โปรตุเกส และฝรั่งเศสบางส่วน จุดประกายคำถามเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางพลังงาน
เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วคาบสมุทรไอบีเรีย ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางทั้งในสเปน โปรตุเกส และลุกลามไปถึงบางส่วนของประเทศฝรั่งเศส เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความโกลาหลแก่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างมหาศาลเท่านั้น แต่ยังจุดประเด็นถกเถียงในวงการไฟฟ้าทั่วโลกถึงสาเหตุที่แท้จริง และชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด
โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ไฟดับครั้งใหญ่คือ เพียงแค่ 5 นาที การผลิตพลังงานโซลาร์ลดต่ำลงแบบน่าตกใจกว่า 50% ส่งผลให้กำลังการผลิตจาก 18 กิกะวัตต์ (GW) ลดลงสู่ 8 กิกะวัตต์ ทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลให้โรงไฟฟ้าสำรองต้องเปิดใช้งาน แต่สเปนและโปรตุเกส มีโรงไฟฟ้าสำรองมั่นคงไม่เพียงพอที่จะรับมือกับพลังงานโซลาร์ที่หายจากระบบอย่างรวดเร็วได้ จึงทำให้ความถี่ในระบบหล่นจาก 50 เฮิร์ตซ์ เหลือ 49.85 เฮิร์ตซ์ ส่งผลให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทยอยถูกปลดออกจากระบบทันที และทำให้ไฟดับยาวนานกว่า 10 ชั่วโมง
สิ่งที่ชัดเจนจากเหตุการณ์นี้คือความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และการตอบสนองของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน การลดลงอย่างรวดเร็วของกำลังการผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนบางประเภทในช่วงเวลาวิกฤต ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยทางสภาพอากาศหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่น ๆ ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อระบบส่งจ่ายไฟฟ้า ทำให้เกิดการหยุดชะงักในวงกว้าง และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหตุการณ์ลักษณะนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ ต้องมีการจัดการขีดความสามารถของระบบในการรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานไฟฟ้า แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ ระบบไฟฟ้าที่พึ่งพาพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนสูงต้องการการจัดการที่แม่นยำและกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับลักษณะเฉพาะตัวของพลังงานเหล่านี้ ซึ่งแตกต่างจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลินฟอสซิลที่สามารถควบคุมกำลังการผลิตได้อย่างแม่นยำ
เสริมความแกร่งให้โครงข่าย: การมีกำลังผลิตสำรองที่เพียงพอคือหัวใจ
ในบริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แนวคิดของ"กำลังผลิตสำรอง" (Reserve Margin)จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง กำลังผลิตสำรองคือปริมาณพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินที่พร้อมจะถูกนำมาใช้งานได้ทันที เพื่อชดเชยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบ ไม่ว่าจะเป็นกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าหลักที่หายไปอย่างกะทันหัน หรือการลดลงของกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนที่ผันผวนตามสภาพอากาศ หรือแม้แต่เมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่คาดฝันการมีกำลังผลิตสำรองที่เพียงพอและเหมาะสมเปรียบเสมือนการมี"แผนสำรอง"ที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา ช่วยให้ระบบไฟฟ้ายังคงทำงานได้อย่างเสถียรและมั่นคง พร้อมรองรับการเติบโตเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวและความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การมีกำลังผลิตสำรองที่เพียงพอจะช่วยให้ประเทศสามารถรองรับการเติบโตนั้นได้โดยไม่ต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงาน
การเดินทางสู่ระบบที่ยั่งยืนและมั่นคง
เหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไม่ใช่แค่การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและกลไกการบริหารจัดการที่สามารถรับมือกับความซับซ้อนและความผันผวนของพลังงานเหล่านี้ได้อนาคตของระบบพลังงานในยุโรปต้องเป็นระบบที่ทั้ง "สะอาด" และ "มั่นคง" ไปพร้อมกัน การเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และการวางแผนเชิงรุกสำหรับการมีกำลังผลิตสำรองที่เหมาะสม จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาสหภาพยุโรปไปสู่เป้าหมายด้านพลังงานที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งความมั่นคงของระบบไฟฟ้าไว้เบื้องหลัง
นอกจากนี้ยังเป็นความท้าทายใหม่ของการวางแผนผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยเช่นกัน เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า การเดินหน้าสู่พลังงานสะอาดควรมีการเตรียมพร้อมอย่างไร และการมุ่งสู่พลังงานสะอาดเพื่อตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ความมั่นคงการเพิ่มพลังงานหมุนเวียน ทำให้จำนวนเมกะวัตต์รวมเพิ่มขึ้น ปริมาณสำรองไฟฟ้าก็มากขึ้น จึงต้องมีการบริหารจัดการระบบและมีการเตรียมความพร้อมที่สูงขึ้น ต้องมีการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับความผันผวน การลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และการเตรียมพร้อมระบบควบคุมและบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ แต่หากประเทศไทยสามารถวางแผนบริหารจัดการต้นทุนรวมของการจัดหาไฟฟ้าได้ดี โดยการกำหนดสัดส่วนของพลังงานแต่ละประเภทให้เหมาะสม ค่าไฟฟ้าก็จะมีความเหมาะสม ระบบก็จะเสถียรภาพ ตอบโจทย์ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและการลงทุนได้ประเทศไทยก็จะสามารถเดินหน้าก้าวสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี