วันพฤหัสบดี ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
รายงานพิเศษ : วางใจได้แค่ไหนที่ตัวเลขส่งออกยังขยายตัว

รายงานพิเศษ : วางใจได้แค่ไหนที่ตัวเลขส่งออกยังขยายตัว

วันจันทร์ ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : รายงานพิเศษ
  •  

** ตัวเลขการส่งออกของไทยขยายตัวต่อเนื่องกันมาหลายเดือนติดต่อกัน อาจจะทำให้หลายฝายเชื่อว่าภาคการส่งออกกำลังจะกลับมาเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในภาวะที่ภาคการท่องเที่ยวมีทีท่าว่าจะไม่เป็นไปตามเป้า หลังจากนักท่องเที่ยวจากจีนชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามก็ยงคงต้องจับตาการเคลื่อนไนไหวของการส่งออกของไทยหลังจากนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่หลังจากที่สหรัฐประกาศตัวเลขภาษีที่ชัดเจนที่จะเก็บจากสินค้าไทย หลังวันที่ 9 ก.ค.2568

ทั้งนี้ SCB EIC ระบุว่ามูลค่าส่งออกสินค้าไทยเดือน เม.ย. 2568 โต 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) อยู่ที่ 25,625.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่ประเมินไว้ 5.3% และค่ากลาง Reuter Poll  10%  โดยส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวดีต่อเนื่องจาก 15.2%ในไตรมาส 1 ส่งผลให้ภาพรวมมูลค่าส่งออกไทยช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 นี้ขยายตัว 14%


การส่งออกไทยเดือนนี้ยังได้อานิสงส์จากการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ แม้สหรัฐฯเริ่มเก็บ Universal tariff 10% ขั้นต่ำเกือบทุกประเทศไปแล้วเมื่อวันที่ 9 เม.ย. และเก็บภาษีเฉพาะเจาะจงสินค้า (Specific tariff) 25% แล้ว ได้แก่ ยานยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม แต่สำหรับภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ที่จะเก็บเพิ่มจากอัตราขั้นต่ำ 10% นี้ สหรัฐฯ เลื่อนไป 90 วันเป็นวันที่ 9 ก.ค. และยังไม่เริ่มเก็บ Specific tariff สินค้าเกษตรและสินค้าเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติม จึงยังเห็นการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนชุดกำแพงภาษีทั้งหมดจะเริ่มมีผลจริง

โดยการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในเดือนนี้จึงยังขยายตัวได้มากถึง 23.8%YOY ต่อเนื่องจาก 34.3% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวถึง 29.9% ขณะที่การส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบไปสหรัฐฯ เริ่มหดตัวในเดือนนี้ที่ -3.8% สำหรับการส่งออกเหล็กฯ แม้ยังขยายตัวได้ 13.8% แต่มีความเสี่ยงที่จะส่งออกได้ลดลงในระยะข้างหน้า ทั้งนี้การส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของไทยไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน 38.3% ของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด ขณะที่การส่งออกสินค้ากลุ่มรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้ากลุ่มเหล็กฯ มีสัดส่วนแค่ 3.4% และ 2.2% ตามลำดับ

นอกจากนี้การส่งออกไปสหรัฐฯที่ขยายตัวดีในเดือนนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกอาวุธ กระสุน และส่วนประกอบที่สูงมากผิดปกติ 1,925,055.6% ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยชั่วคราวไม่ได้สะท้อนภาพการส่งออกไทยที่แท้จริง

ขณะที่แนวโน้มการเร่งส่งออกส่งออกไปสหรัฐฯของไทยคล้ายประเทศอื่น โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ ของญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เวียดนาม และไต้หวัน ก็ขยายตัวดีมากเช่นกัน ขณะที่การส่งออกเหล็ก ยานยนต์ และส่วนประกอบของยานยนต์หดตัวสูงในเดือน เม.ย. (ข้อมูลเร็ว 20 วันแรกเดือน พ.ค. ของเกาหลีใต้ก็สะท้อนภาพนี้เช่นกัน) สะท้อนว่า นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ กระทบการส่งออกแต่ละประเทศแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างสินค้าส่งออก หากประเทศใดเน้นพึ่งพาสินค้าที่โดนตั้งกำแพงภาษีสูงแล้ว เช่น สินค้ากลุ่มยานยนต์และกลุ่มเหล็ก (25%) อาจเห็นส่งออกถูกกระทบแรง เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ สูงที่ 36.0% และ 33.5% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งหมด ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าที่ยังไม่ถูกสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ การส่งออกจะยังขยายตัวดี เช่น ไต้หวัน และเวียดนาม ที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ สูงถึง 79% และ 50.4% ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯทั้งหมด ขณะที่สัดส่วนพึ่งพาการส่งออกยานยนต์และเหล็กต่ำ

ทองคำยังเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกที่สำคัญในเดือนนี้ แต่แรงส่งประเด็นพิเศษทองคำที่เคยช่วยให้การส่งออกไทยโตดีในช่วงที่ผ่านมากลับลดลงมาก โดยการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปยังคงขยายตัวสูงมากถึง 250.5% ต่อเนื่องจาก 269.5% ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นผลจากความต้องการทองคำในตลาดโลกเพื่อรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น รวมถึงปัจจัยราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมาก สำหรับแรงส่งประเด็นพิเศษจากการส่งออกสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าฯ ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่าเกือบทั้งหมดเป็นการส่งออกทองคำผสมแพลทินัมในสัดส่วนน้อยไปตลาดอินเดียเพื่อประโยชน์ทางภาษีของผู้นำเข้าอินเดีย  ปัจจัยพิเศษนี้มีสัญญาณแผ่วลงชัดเจน มูลค่าส่งออกลดเหลือเพียง 113 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสูงสุดในเดือน ก.พ. ที่ 1,269.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

มูลค่าการนำเข้าสินค้าเดือน เม.ย. อยู่ที่ 28,946.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 16.1% สูงกว่าที่ประเมินไว้ที่ 8.5% และค่ากลาง Reuter Poll 7.9%) เร่งขึ้นจาก 10.2% ในเดือนก่อน โดยมูลค่านำเข้าไทยเติบโตต่อเนื่องนาน 10 เดือนแล้ว ทั้งนี้การนำเข้า (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวสูง 14.5% ในเกือบทุกหมวด ได้แก่ สินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (รวมทองคำ) อาวุธและยุทธปัจจัย สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเชื้อเพลิง ขยายตัว 27.5% (โดยเฉพาะนำเข้าจากจีนที่โตถึง 38.8%), 17.4%, 16.1%, 11.9% และ 1.7% ตามลำดับ มียานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งที่นำเข้าลดลง -0.6% โดยหดตัว 3 เดือนติดต่อกัน ดุลการค้าไทย (ระบบศุลกากร) ในเดือนนี้ขาดดุล -3,321.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ในช่วง 4 เดือนของปี 2025 ดุลการค้าขาดดุลสะสม -2,240.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ SCB EIC มีข้อสังเกตว่า ไทยนำเข้าจากจีนเร่งตัวขึ้นในเดือน เม.ย. อาจเป็นผลจากการเปลี่ยนเส้นทางการค้าของจีนเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีสหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกและนำเข้าของจีนกับสหรัฐฯ ในเดือน เม.ย. หดตัวมาก -21.0% และ -13.8% ตามลำดับ  ผลจากการตั้งอัตราภาษีตอบโต้ระหว่างกันสูงเกิน 100% อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกจีนโดยรวมกลับยังขยายตัวดี 7.9% โดยจีนสามารถขยายการส่งออกไปภูมิภาคอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะตลาดอาเซียนที่ขยายตัวถึง 20.8% (ส่งออกมาไทยโต 27.9%)  ตัวเลขนี้สะท้อนภาพจีนระบายสินค้าส่งออกไปทั่วโลกด้วยความได้เปรียบด้านต้นทุนและขนาด กระทบความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทย

นอกจากนี้หากปัญหาสินค้าจีนระบายเข้าตลาดในประเทศมีส่วนที่บริษัทจีนนำเข้าเพื่อผลิตหรือประกอบ แล้วส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าสูง (ปัญหาสินค้าจีนสวมสิทธิ์) อาจส่งผลให้ไทยเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ ติดตามประเด็นนี้ใกล้ชิด

SCB EIC มองว่า แม้การส่งออกไทยเดือน เม.ย. จะขยายตัวดี แต่การส่งออกในช่วงที่เหลือของปีจะชะลอลงมาก โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปีอาจหดตัว เนื่องจาก 1.ผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เริ่มชัดขึ้น สะท้อนจากข้อมูลส่งออกของจีน, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นไปสหรัฐฯ ที่เริ่มหดตัวแล้ว เป็นสัญญาณว่าหากหมดช่วงที่สหรัฐฯ ชะลอการเก็บ Reciprocal tariffs ชั่วคราว 90 วัน และเริ่มเก็บภาษี Specific tariffs ครบทุกรายการ การค้าโลกกับสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มแย่ลง 

2.การผลิตโลกมีแนวโน้มชะลอลงอีก โดยเฉพาะการผลิตที่เชื่อมโยงกับการค้าระหว่างประเทศ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) บางองค์ประกอบ เช่น คำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกหดตัวแรง และปริมาณงานค้างหดตัวต่อเนื่อง และ 3. ปัจจัยหนุนหลักของการส่งออกที่เคยเห็นในไตรมาส 1 เริ่มหมด เช่น วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, การเร่งส่งออก และปัจจัยทองพิเศษ

ในวันที่ 12 พ.ค. จีนและสหรัฐฯ มีข้อตกลงลดภาษีตอบโต้ระหว่างกันลง 115% นาน 90 วัน (เริ่ม 14 พ.ค.-12 ส.ค.) โดยจีนจะตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 10% ลดจาก 125% ขณะที่สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีจีนที่ 30% ลดจาก 145% แต่ยังคงเก็บ Specific tariffs สินค้าเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์จากจีนที่ 25%

อย่างไรก็ตามข้อตกลงลดเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้ชั่วคราวของสหรัฐฯ กับประเทศทั่วโลกกำลังสิ้นสุดในวันที่ 9 ก.ค.นี้ อาจส่งผลให้ประเทศที่ไม่สามารถเจราจากับสหรัฐฯ ได้ถูกตั้งกำแพงภาษีรุนแรงตามที่สหรัฐฯ ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. โดยเฉพาะหลายประเทศในอาเซียนที่เสี่ยงถูกตั้งกำแพงตอบโต้สูงกว่าจีน เช่น กัมพูชา, เวียดนาม และไทย ที่อัตราสูงสุด 49%, 46% และ 36% ตามลำดับ

SCB EIC มองว่าข้อตกลงลดภาษีตอบโต้ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ชั่วคราว และความคืบหน้าของการเจราจาการค้าของไทยกับสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อส่งออกไทยได้ เพราะจะมีผลต่อความได้เปรียบหรือเสียเปรียบด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ บนอัตราภาษีนำเข้าที่จะถูกจัดเก็บไม่เท่ากัน ดังนั้น ผลการเจรจาการค้าของไทยกับสหรัฐฯ ให้สำเร็จภายใน 90 วันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากต่อแนวโน้มการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี

ขณะเดียวกัน Krungthai COMPASS ระบุว่ามูลค่าส่งออกเดือน เม.ย. อยู่ที่ 25,625.1 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัว 10.2% YoY ชะลอลงจาก 17.8%YoY เมื่อเดือนก่อน โดยการส่งออกสินค้าทั้งกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่อง สวนทางกับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร สำหรับการส่งออกทองคำในเดือนนี้ขยายตัวสูงที่ 250.5% YoY ทำให้เมื่อหักทองคำแล้วมูลค่าส่งออกเดือนนี้เติบโตที่ 7.2%YoY ทั้งนี้การส่งออกสี่เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 14.0%YoY โดยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญจาก

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเติบโต 16.6%YoY  ชะลอตัวจาก 23.5%YoY ในเดือนก่อน โดยสินค้าสำคัญที่เติบโต ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+75.1%) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) (+42.1%) แผงวงจรไฟฟ้า (+39.0%) ผลิตภัณฑ์ยาง (+15.9%) เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด (-33.1%) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (-7.6%) ที่กลับมาหดตัวหลังจากขยายตัวในเดือนก่อนหน้า เป็นต้น  ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัว -8.4%YoY ติดลบต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ -3.1%YoY โดยสินค้าเกษตรหดตัว -19.6%YoY หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ -0.5%YoY และต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4

ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรกลับมาขยายตัว 9.1%YoY สวนทางกับเดือนก่อนที่หดตัว -5.7%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัวสูงในเดือนนี้ ได้แก่ ข้าว (-44.1%) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (-38.5%) และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-5.8%) เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ขยายตัวสูง ได้แก่ น้ำตาลทราย (+36.0%) ยางพารา (+22.5%) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ (+24.6%) ผลไม้กระป๋อง และแปรรูป (+21.9%) และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ (+17.1%) เป็นต้น

ทั้งนี้แม้ว่าการส่งออกเดือน เม.ย. 2568 จะขยายตัว หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลง สะท้อนปัจจัยบวกจากการเร่งนำเข้าเริ่มแผ่วลง โดยมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัว 10.2% YoY ในเดือนนี้ ถือเป็นการเติบโตที่ช้าลงเป็นครั้งแรกใน 5 เดือน และหากเทียบมูลค่ารายเดือนแล้วจะหดตัว 13.3% MoM ติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2568 บ่งชี้ถึงการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าก่อนหมดระยะพักการขึ้น Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ อ่อนแรงลง และ     ตัวเลขล่าสุดเริ่มสะท้อนว่าการเร่งส่งออกของชาติเอเชียเริ่มมีสัญญาณลบ โดยตัวเลขส่งออกของเกาหลีใต้ 20 วันแรก ในเดือน พ.ค. 2568 หดตัว -2.4%YoY ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียหดตัวชัดเจน สะท้อนจาก Manu-facturing PMI เดือน เม.ย.2568 ที่อ่อนแรง โดยส่วนใหญ่หดตัวลง

ดังนั้นต้องจับตาผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งมีผลสำคัญต่อการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า ล่าสุดในเดือน พ.ค. จีนและสหรัฐฯ ได้เจรจาทางการค้า และบรรลุเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ลดภาษีศุลกากรตอบโต้กับจีนลงเหลือ 30% จาก 145% เป็นเวลา 90 วัน (สิ้นสุดเดือน ส.ค. 2568) ขณะที่ไทยเฝ้ารอเข้าเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งหากไทยเจรจาประสบผลสำเร็จและอัตราภาษีใหม่ต่ำกว่า 36% จะช่วยลดความเสี่ยงที่สินค้าจีนจะแทนที่การส่งออกไทย เนื่องจากอัตราภาษีที่จีนถูกเก็บในตอนนี้ต่ำกว่าที่ไทยจะถูกเก็บในเดือน ก.ค.2568

คาดการส่งออกไทยช่วง 2H68 ที่ระยะพักการขึ้น Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ หมดลง ผลกระทบต่อไทยจะชัดขึ้น ทั้งผลทางตรงจากอัตราภาษี ซึ่งยังมีความเสี่ยงที่จะสูงกว่า Universal Tariff 10% ผลจากส่วนต่างภาษี หากไทยถูกเก็บในอัตราสูงกว่าประเทศส่งออกอื่น และผลทางอ้อมจากการค้าโลกที่แย่ลง เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอ่อนแรง รวมถึงการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน

** SCB EIC**

** Krungthai COMPASS **  

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานพิเศษ : โครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีปัญหา หากไม่แก้ไข GDP จะโตต่ำกว่า 2% อย่างถาวร รายงานพิเศษ : โครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีปัญหา หากไม่แก้ไข GDP จะโตต่ำกว่า 2% อย่างถาวร
  • รายงานพิเศษ : \'ทรัมป์\' ทำเศรษฐกิจปั่นป่วนทั่วโลก ไทยรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า รายงานพิเศษ : 'ทรัมป์' ทำเศรษฐกิจปั่นป่วนทั่วโลก ไทยรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า
  • รายงานพิเศษ : SETHD Index: ดัชนีหุ้นปันผล อีกหนึ่งมุมมองในการเลือกลงทุนในหุ้นปันผล รายงานพิเศษ : SETHD Index: ดัชนีหุ้นปันผล อีกหนึ่งมุมมองในการเลือกลงทุนในหุ้นปันผล
  • รายงานพิเศษ : ผลจากภาษีสหรัฐ...กดจีดีพีไทยเหลือแค่ 1.5% นโยบายการเงินต้องช่วย...รัฐบาลต้องเจรจาให้สำเร็จ รายงานพิเศษ : ผลจากภาษีสหรัฐ...กดจีดีพีไทยเหลือแค่ 1.5% นโยบายการเงินต้องช่วย...รัฐบาลต้องเจรจาให้สำเร็จ
  • รายงานพิเศษ : สหรัฐฯขึ้นภาษี...ส่งออกไทยโดน2เด้ง ฉุดจีดีพีปี2568ต่ำกว่าประมาณการ รายงานพิเศษ : สหรัฐฯขึ้นภาษี...ส่งออกไทยโดน2เด้ง ฉุดจีดีพีปี2568ต่ำกว่าประมาณการ
  • รายงานพิเศษ : EXIM BANK ช่วย SMEs รับมือค่าเงินผันผวน  ออกสินเชื่อเสริมสภาพคล่องและปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน รายงานพิเศษ : EXIM BANK ช่วย SMEs รับมือค่าเงินผันผวน ออกสินเชื่อเสริมสภาพคล่องและปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
  •  

Breaking News

คกก.เยียวยาผู้เสียหายฯ มีมติจ่ายชดเชยเหยื่อซ้อมทรมาน3กรณี

'สุรเดช'ลุยพบเกษตรกรภาคเหนือ รับฟังปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ

'เต้น'มาแล้ว 50 ปี 'ทักษิณ-อิ๊งค์'ร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิด

‘สมชัย’สวด‘อิ๊งค์’ ชี้พยักเพยิด-หัวเราะ ไม่ให้เกียรติ‘สื่อ’

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved