นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Thailand Transformation for The Next Decade: ทิศทางไทยในการปรับตัวสู่ทศวรรษใหม่ “ในงานสัมมนาTHAILAND CVISION SUMMIT 2025 ภายใต้แนวคิด “THAILAND TRANSFORMATION 2025: จุดเปลี่ยนประเทศไทย” จัดโดยบริษัท เออาร์ไอพี โดย นิตยสาร Business+ ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายพิชัย กล่าวว่าโลกได้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแล้ว ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะวิธีคิดซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ให้มากกว่า 30-34% ของจีดีพี หรือราว 6 ล้านล้านบาท เพราะเรายังน่าลงทุนในสายตาต่างชาติ สะท้อนจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมีความกังวลในเรื่องของโครงสร้างสาธารณูปโภค เช่น เรื่องของไฟฟ้า เรื่องน้ำ และระบบการขนส่ง รวมถึงความไม่คล่องตัวในการเช่าที่ดินทำให้ต้องแก้ไขกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องคุณภาพของแรงงาน
“ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อม กล้าพูด และปฏิบัติให้ได้ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น โครงสร้างเศรษฐกิจต้องเปลี่ยนจากผู้รับจ้างผลิตไปสู่การมีแบรนด์เป็นของตัวเอง ภาคเอกชนต้องปรับตัวเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล โครงสร้างอุตสาหกรรมหลายอย่างต้องเปลี่ยนไป เพื่อเปลี่ยนผ่านซัพพลายเชนในบ้านเรา ภาคเกษตรต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และต้องบริหารซัพพลายไม่ให้ล้นตลาด แต่ที่ต้องทำคู่ขนานกันไปเรื่องไบโอเทคโนโลยี ซึ่งมีหลายประเทศต้องการมาลงทุนในไทย เพราะเรามีทรัพยากรรองรับเพียงพอ ขณะที่ท่องเที่ยวต้องปรับเปลี่ยนให้ตรงกับวัฒนธรรมการท่องเที่ยวของคนรุ่นใหม่มากขึ้น รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะทรานส์ฟอร์มประเทศไทยสู่อนาคตที่ดีกว่า” นายพิชัย กล่าว
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจเกียรนาคินภัทร กล่าวในหัวข้อ Transforming Thailand Economy to Become No.1 in Asean: เจาะแนวทางพลิกไทยให้กลายเป็นที่ 1 อาเซียน ระบุว่า การที่ไทยจะเป็นที่หนึ่งในอาเซียน หากมองในแง่ของจีดีพี และรายได้ต่อหัวคงเป็นเรื่องยากจึงต้องเลือกแข่งในมิติอื่น ๆ เช่น ผู้นำอาหารปลอดภัย หรือประเทศแห่งโอกาส เป็นต้น เป็นการแข่งขันกับตัวเองในการยกศักยภาพของเศรษฐกิจ โดยรัฐต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ทำให้เอื้อต่อภาคเอกชน ขณะที่เอกชนต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ไปสู่สินค้าและบริการที่เพิ่มคุณค่า รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน
ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวถึง แนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืนในโลกยุคใหม่ คือการเปลี่ยนแนวคิดจากการแข่งขันด้วยต้นทุน ไปสู่การสร้างมูลค่า โดยการใช้กลยุทธ์ เชิงนวัตกรรม ที่ครอบคลุมทั้ง 5 มิติ ได้แก่ การตลาดแบบแมสไปสู่การตลาดแบบเฉพาะบุคคล การพัฒนาความยั่งยืน จากแค่ทำตามกฎสู่การสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืนการยกระดับซัพพลายเชนโลกไปสู่มูลค่าระดับภูมิภาค การแข่งขันจากขนาดสู่ทักษะเฉพาะทาง และการตลาดจากโปรโมชั่นสู่การสร้างคุณค่าทางจิตใจ แนวคิดนี้ชี้ว่า องค์กรไทย ไม่ต้องแข่งขันกันที่ราคาถูกแต่ต้องแข่งที่ความสามารถ ความแตกต่าง หรือแม้แต่การสร้างคุณค่ายั่งยืนในระยะยาว
นายอดุล ขาวลออ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มองว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์โลก ความปั่นป่วนของซัพพลายเชนและเทคโนโลยีที่เข้ามาดิสรัป การปรับตัวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขของการอยู่รอด จุดแข็งของเราคือชื่อเสียงของสินค้าไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้า Made in Thailand สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ คือการยกระดับสินค้าที่ผลิตในไทยให้ได้มาตรฐานระดับสากล ไม่ใช่แค่รับจ้างผลิต แต่ต้องมีแบรนด์ของตัวเอง มีคุณค่าที่จับต้องได้ทั้งในประเทศและระดับโลก
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่าเราต้องเปลี่ยนโมเดลการเติบโตจากการผลิตเพื่อปริมาณ สู่การสร้างมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน ที่จะผลักไทยสู่เศรษฐกิจโลกได้คือ การพัฒนาคนให้มีทักษะเฉพาะทางในเทคโนโลยีใหม่, การสร้างซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับโลก และการเตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือจุดเปลี่ยนของประเทศเรากำลังเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยไปสู่ยุคใหม่ และเราต้องไปด้วยกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี