นายธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประเทศกัมพูชามีแนวทางในการนำแรงงานที่อยู่ในไทยกลับประเทศนั้น โดยปัจจุบันแรงงงานของกัมพูชามีอยู่ประมาณ 515,350 คน ซึ่งเป็นสัดส่วน 13.58% ของแรงงาน 3 สัญชาติ ส่วนแรงงานเมียนมาร์มีประมาณ 2,994,000 คน โดยมีสัดส่วนประมาณ 78.9% ซึ่งถือว่าเป็นแรงงานที่มีมากที่สุด ที่เหลือเป็นแรงงานจาก สปป.ลาว ประมาณ 281,935 คน ยังไม่นับรวมแรงงานตามกลุ่มทักษะ

นอกจากนี้ยังมีแรงงานกัมพูชาที่อยู่นอกระบบอีกประมาณเกือบ 3 แสนคน ซึ่งหากรวมทั้ง 2 กลุ่มจะมีอยู่ประมาณ 8 แสนคน โดยแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมายมีการส่งเงินกลับประเทศประมาณ 43,600 ล้านบาทต่อปี โดยถือว่าเป็นมูลค่าที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นหากกัมพูชาจะห้ามแรงงานให้มาทำงานที่ไทย หรือนำกลับไปก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแรงงานส่วนใหญ่คงไม่ต้องการกลับเพราะเป็นกลุ่มที่ต้องการรายได้ไปดูแลครอบครัว ซึ่งทางกัมพูชาอาจจะต้องใช้มาตรการในการบังคับให้กลับประเทศ

นายธนิต กล่าวว่า หากเกิดกรณีที่แรงงานจากกัมพูชาหายไปจากระบบกว่า 5 แสนรายในทันที ประเทศไทยจะเดือดร้อนพอสมควร ยิ่งกว่าการไม่ใช้ไฟฟ้า หรืออินเทอร์เน็ตจากประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบมากที่สุด คือ ก่อสร้าง และประมง เนื่องจากจะหาแรงงานทดแทนได้ยาก โดยแรงงานจาก สปป.ลาว ชอบที่จะทำงานบริการ เพราะพูดภาษาไทยได้ ขณะที่เมียนมาร์จะชอบทำงานโรงงาน บริการ และขายของ เป็นต้น อย่างไรก็ดีหากแรงงานกัมพูชาหายไปจากระบบจริง เบื้องต้นจะสามารถทดแทนด้วยแรงงานจากเมียนมาร์ได้ เพราะกลุ่มดังกล่าวมีความต้องการทำงานในประเทศไทย

โดยหลังจากนี้ไทยควรที่จะมีการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ในส่วนของแรงงานซึ่งยังพอมีเวลาดำเนินการ ทั้งนี้จะหวังพึ่งแรงงานเข้มข้นไม่ได้อีกต่อไป โดยรัฐบาลต้องเร่งส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี ซึ่งในระยะ 5-10 ปีนี้จะต้องเริ่มลดแรงงานจากคน โดยภาครัฐต้องมีกองทุนเข้ามาช่วยสนับสนุน ขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องปรับตัว โดยเชื่อว่าจะทำให้ค่าแรงปรับเพิ่มขึ้นได้จากการทำงานของแรงงานที่มีทักษะมากขึ้น หรือเรียกว่าให้เป็นไปตามดีมานด์ และซัพพลาย ไม่ใช่ตั้งค่าจ้างขั้นต่ำเป็นกฎหมายเหมือนเป็นการบังคับถ้วนหน้าเหมือนที่เป็นอยู่

-033