นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีการติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง และการบริหารสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้เกิดประสิทธิภาพ จึงมีมติปรับลดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลลงอีก 50 สตางค์/ลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เพื่อช่วยตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไม่ให้ปรับขึ้น และลดผลกระทบต่อประชาชนและภาคขนส่ง จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นและผันผวน
ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุด ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาอยู่ที่ 72.89 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล (จากเดิม 72.50 เหรียญสหรัฐฯ) ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นชัดเจนที่ 90.28 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล (จากเดิม 88.02 เหรียญสหรัฐฯ) ขณะที่น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 85.14 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล (ลดลงจากเดิม 85.44 เหรียญสหรัฐฯ) สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ความตึงเครียดและความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่ยังคงยืดเยื้อ และสร้างความผันผวนในตลาดพลังงานของโลก
“การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้ เป็นมาตรการต่อเนื่องเพื่อช่วยตรึงราคาหน้าปั๊ม และบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันดีเซล ลดลงประมาณวันละ 31.07 ล้านบาท จากเดิมที่มีรายรับประมาณวันละ 94.04 ล้านบาท เหลือประมาณวันละ 62.97 ล้านบาท ขณะที่รายรับจากกลุ่มน้ำมันเบนซินยังคงเท่าเดิม และอยู่ที่ประมาณวันละ 72.88 ล้านบาทเท่าเดิม “ นายพรชัยกล่าว
ด้านนายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หลังจากที่เกิดการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีรายงานข่าวเมื่อคืนวันจันทร์ว่า อิหร่านพร้อมกลับมาเจรจาเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์กับสหรัฐหลังจากที่อิหร่านได้ยกเลิกการเจรจาไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์การสู้รบก็ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้หลายประเทศเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ โดยนักวิเคราะห์จากหลายหน่วยงานรายงานถึงการคาดการณ์หากการสู้รบขยายวงกว้างขึ้น จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งอาจจะมีการปิดกั้นเส้นทางในการขนส่งน้ำมันอย่างช่องแคบฮอร์มุช ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ
ด้านปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด
“ขอย้ำว่า กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านอย่างใกล้ชิด ได้เตรียมพร้อมในเรื่องของปริมาณสำรองพลังงาน ซึ่งมีข้อกำหนดและมาตรการในการสำรองปริมาณน้ำมันและก๊าซหุงต้มอยู่แล้ว รวมถึงการเตรียมแนวทางการบริหารจัดการด้านราคาหากการสู้รบรุนแรงขึ้นและยืดเยื้อ โดยไทยเองเป็นประเทศนำเข้าน้ำมัน ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านราคาได้ ขอให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดการนำเข้า ก็จะช่วยให้ประเทศลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ด้วย” นายวีรพัฒน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี