นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันครบรอบเกือบ 1 ทศวรรษ โดยข้อมูล ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2568 มีคำขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจรวมทั้งสิ้น 882,654 คำขอ ทรัพย์สินรวมที่ใช้เป็นหลักประกัน 20,435,659 ล้านบาท นับเป็นความสำเร็จและก้าวสำคัญที่กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชนทั่วไปเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีทรัพย์อีก 1 ประเภทที่กรมฯ มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สถาบันการเงินเพื่อให้ความสำคัญในการให้สินเชื่อมากขึ้น คือ ทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า ฯลฯ โดยทรัพย์สินทางปัญญามีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทรัพย์สินประเภทอื่นๆ ทั้งในส่วนของการสร้างสรรค์และนวัตกรรม สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน กระตุ้นการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและมูลค่า และส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ฯลฯ เป็นต้น
ภายใต้ พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 ได้กำหนดให้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหนึ่งในจำนวนหกทรัพย์ที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ จนถึงปัจจุบันมีสถาบันการเงินรับทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน การขอสินเชื่อภายได้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจแล้วจำนวน 14,494,652,200 บาท หรือ 0.07% ของมูลค่าทรัพย์สินรวมที่ใช้เป็นหลักประกัน จากสถิติข้างต้นแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความเข้าใจเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาของสถาบันการเงินกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SME โดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินอย่างมีนัยยะสำคัญ
อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า กรมฯ ในฐานะที่กำกับดูแลกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย สมาคมธนาคารไทย สถาบันการเงิน นักวิชาการภาครัฐ/ภาคเอกชน และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) จัดประชุมเชิงวิชาการ ‘แนะนำแนวทางการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือ IP Financing and IP Valuation’ ขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนการนำทรัพย์สินทางปัญญามาใช้ประโยชน์ในการเข้าถึงแหล่งทุนอย่างเป็นรูปธรรม และหวังให้สถาบันการเงินมีความเข้าใจถึงความสำคัญและมูลค่าของทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทรัพย์สินประเภทอื่น รวมทั้ง เปิดกว้างรับทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อย เช่น กลุ่มผู้ประกอบการนวัตกรรม สตาร์ทอัพ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีทรัพย์สินทางปัญญาแต่ไม่มีเงินทุนให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น
การนำทรัพย์สินทางปัญญามาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ เป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยไม่ต้องพึ่งพาหลักประกันแบบเดิม กระตุ้นการสร้างนวัตกรรมเพราะทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการคุ้มครองสามารถนำไปต่อยอดทางธุรกิจและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินด้วยกระบวนการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมาตราฐานระดับสากล และยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) อย่างเป็นระบบ
ที่ประชุมมีการให้ความรู้หัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ บทบาทของทรัพย์สินทางปัญญาในระบบเศรษฐกิจและการเงินยุคใหม่ แนวโน้มระดับสากลด้าน IP Finance ตลอดจนกรณีศึกษาการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหลักประกันจากประเทศต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับบริบทของไทย นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากภาคการเงินและนักวิชาการที่เข้าร่วมประชุมอย่างหลากหลาย รวมทั้ง หารือแนวทางการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจนวัตกรรม และ SME สามารถใช้ทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นหลักประกันในการเข้าถึงสินเชื่อด้วย
ช่วงท้ายของการประชุม กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้นำเสนอแผนการดำเนินงานต่อเนื่องภายใต้ความร่วมมือกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เพื่อพัฒนากระบวนการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา และกลไกเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมให้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ได้แก่ การสร้างการรับรู้ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาผ่านระบบการเรียนการสอนออนไลน์ DBD Academy ของกรมฯ ตลอดจนสื่อสารและให้ความรู้แก่สถาบันการเงินถึงมูลค่าและศักยภาพของทรัพย์สินทางปัญญาในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินภายใต้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจได้
ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2568) มีหลักทรัพย์ที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่นำมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 14,494,652,200 บาท แบ่งเป็น 1) เครื่องหมายการค้า 17 เครื่องหมาย มูลค่า 1,975,000,000 บาท 2) ลิขสิทธิ์ 2 โปรแกรมคอมพิวเตอร์ มูลค่า 16,000,000 บาท 3) ซอฟต์แวร์ 1 ซอฟต์แวร์ มูลค่า 3,652,200 บาท 4) สิทธิการใช้เครื่องหมายการค้า และ/หรือ เครื่องหมายบริการ 41 เครื่องหมาย มูลค่า 11,000,000,000 บาท และ 5) แอปพลิเคชัน 1 ซอฟต์แวร์ มูลค่า 1,500,000,000 บาท” อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย
-032
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี