6 ก.ค.2568 นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล Founder & CEO บริษัท Fire One One เขียนบทความ “Oversaturated ความจริงที่ไม่เคยเห็นว่าเอามาพูดกันจริงจัง” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก “Shakrit Chanrungsakul” เนื้อหาดังนี้
เห็นแชร์กันเยอะว่ามีการสรุปตัวเลขการซื้ออาหาร (ต่อบิล?) ที่ลดลงเล็กน้อย กับตัวเลขการปิดกิจการอย่างต่อเนื่องแล้วสรุปไปว่าเศรษฐกิจไม่ดีจริง ... ในฐานะที่ผ่านวิกฤติมาแล้วผมยังคิดว่านี่ยังแค่ "ชะลอตัว" ยังไม่เรียกว่า "ไม่ดี" และไอ้การชะลอตัวนี่มาจากไหน? ทำไมเขาไม่พูดถึงกันนะ?
ตัวเลขที่น่าสนใจไม่ใช่การปิดหรือยอดขายที่ลดลง มันเป็นปลายทางหรือผลปลายฤดูกาลแล้วว่าบางทีมจะตกชั้นหรือไม่ตกชั้น ... ถ้าจะวิเคราะห์สาเหตุต้องย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ... ปัญหาในวงการอุตสาหกรรมอาหารของไทยก็คือ "ใครก็เปิดได้" และก็เปิดกันจนล้นบ้านล้นเมือง ต้องไม่ลืมภาพร้านหมาล่าครองเมือง ร้านชานมไข่มุกทั่วฟ้าเมืองไทย วันนี้ก็น่าจะชาเขียว (มั้ย?) ... ร้านกาแฟที่มีทั่วทุกหัวระแหงก็เปิดตามกันทุกตรอกซอกซอย ... ผมเคยสงสัยตัวเลขที่น่าสนใจแต่ไม่เคยมีใครทำออกมาเช่น ...
ปริมาณร้านอาหารแต่ละประเภทต่อประชากรในพื้นที่ (เช่นที่ผมสนใจจำนวนร้านกาแฟที่เปิดกันสามหรือสี่พันแห่งในช่วงนึงกับประชากรเชียงใหม่ประมาณล้านกว่าคน นับเป็นความเข้มข้นของธุรกิจพอ ๆ กับเมืองใหญ่อย่างซีแอทเทิล, เมลเบิร์น, เวียนนา - เจ้าตลาดร้านกาแฟของโลกทั้งสามเมือง) ... เราจะพบว่าในหลายพื้นที่ของเรามีจำนวนร้านมากจนไม่สัมพันธ์กับจำนวนประชากรอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเรากำลังเห่ออะไรกัน
ค่าเฉลี่ยของญี่ปุ่น มีร้านอาหารทุกประเภท 762 แห่งต่อประชากรแสนคน (ส่วนใหญ่นิยมกินนอกบ้าน) ... อิตาลีมีร้านอาหาร 170-300 แห่งต่อประชากรแสนคน (นิยมทำอาหารในบ้านไม่น้อยกว่าออกไปกินนอกบ้าน) ทั้งสองประเทศเป็นตัวเลขที่ผู้ขายจะต้องจดทะเบียนจริงอย่างเข้มงวด ... ส่วนของเรามีผู้ขายอาหาร 695-974 แห่งต่อประชากรแสนคน (ถ้าเอาตัวเลขจดทะเบียนจริงจะอยู่ที่สองหมื่นกว่าแห่ง แต่ถ้าเอาที่ขายจริงจังรวมถึงแบบไม่จดทะเบียนคือตัวเลขผู้ที่เปิดขายบนแพล็ตฟอร์ม -Grab เคยระบุสูงถึงเก้าแสน -ไลน์แมนเคยระบุว่าห้าแสน ทั้งสองรายพูดออกเวทีใหญ่ทำให้เราพอจะประเมินได้ตัวเลขทั้งหมด)
จะพบว่าเรามีร้านอาหารต่อประชากรมากกว่าญี่ปุ่น (ที่ก็กำลังเจอปัญหาและปิดตัวกันเยอะ) และมากกว่าอิตาลี เราแค่ "สบายกว่า" ด้วยการจะกินอะไรก็กดสั่งมา ... คนขายก็เลยเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ... ซึ่งถ้าจะเอานักท่องเที่ยวมาเป็นปัจจัยเสริมก็พอได้ แต่ถ้าจะหวังพึ่งนักท่องเที่ยวก็น่าจะเอาตัวรอดกันแบบหน้ามืดละครับ ... นี่เป็นเรื่องที่ผมบอกมาตลอดว่า "เราเลี่ยงที่จะไม่ควบคุม"
แล้วมาเจอราคา, มาตรฐานความสะอาด, คุณภาพ ... เราต่างจากญี่ปุ่นและอิตาลีมาก ๆ ตรงที่เขาต้องจดทะเบียนทั้งหมดทุกประเภทไม่ว่าเล็กใหญ่ จะขายอะไรต้องมีมาตรฐานความสะอาด ได้รับการตรวจสอบ มีโอกาสถูกสุ่มตรวจและปิดได้ทันที ... ส่วนของเราก็ขายกันไปตามใจชอบ
ส่งผลหลายเรื่อง ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะกินอะไรก็หาได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องออกไปไหน และส่งผลสำคัญอีกเรื่องคือ "ราคา" ที่ไม่ยุติธรรมขึ้นเรื่อย ๆ กับผู้บริโภคเช่นกัน ทำให้การออกไปกินนอกบ้านเริ่มมีประเด็น
ข้าวราดกระเพราไก่ที่เคยอยู่ระหว่าง 30-50 บาท (โรงอาหาร, ร้านตามสั่ง) 80-120 บาท (ร้านอาหารในห้าง) หรือ 250 บาท (ในโรงแรม) ... ขยับเป็น 160-250 บาทในร้านอาหารทั่วไปตามห้าง และ 400-500 บาทในโรงแรม ... ช่วงโควิดร้านอาหารสตรีทฟู้ดส์ก็เลยเริ่มตีตื้นเพราะเป็นทางเลือกที่ดีพอ ร้านกระเพราเลยเกิดกันตามวงจร เมื่อขายดีบรรดาสตรีทก็ขยับราคากันไปอีกเป็น 80-120-250 กันเพราะลูกค้าก็แย่งกันซื้อ แย่งกันสั่ง ... เราจะเห็นว่าราคาอาหารของเรามันเฟ้อแล้วเฟ้ออีก บวกกับแต่ละร้านก็หันไปหานักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น เมื่อโขกได้โขกเอาก็เปิดกันเยอะขึ้นอีก
ปริมาณผู้ขายเพิ่มขึ้นเป็นห้าแสนถึงเก้าแสนรายตามตัวเลขที่แพล็ตฟอร์มแจ้งเอาไว้ก็พอจะเดาที่มาได้
เป็นเหตุผลนึงที่อธิบายได้อีกว่าทำไมคนไทยถึงหันไปกินบุปเฟต์กันมากขึ้น เพราะมันดูจะคุ้มกว่าไปกินร้านตามห้างที่ว่า ... ราคาบุปเฟต์ไทยก็กดลงเรื่อย ๆ จากการแข่งขัน พวกร้านที่เคยคิดราคากลาง ๆ ก็ไม่ใช่ทางเลือก ในที่สุดก็ต้องกดราคาลงมาแบบไม่มีกลยุทธ์จริง แต่ต้องทำเพราะลูกค้าฉันหายไปที่อื่นหมดแล้ว ... ไปลดต้นทุนหลังบ้านกันทั่วหน้า
ความไม่สมดุลนี้เกิดขึ้นมาหลายปี แต่เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงกัน
นึกจะเปิดก็เปิด, นึกจะเห่อก็เห่อ
ไม่มีมาตรฐานชัดเจน, ไร้การควบคุม
สุดท้ายก็ตัดราคาใส่กันยับ
เป็นปัจจัยสำคัญมากๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
ตัวเลขการซื้อน้อยลง และตัวเลขการปิดกิจการที่มากขึ้น
จึงเป็นผลทางธรรมชาติเท่านั้น แทบไม่ต้องอธิบาย
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี