นายสุลิวัด สุวันนะจูมคำ รองรัฐมนตรีกระทรวงการเงิน สปป.ลาว และประธานสภาบริหาร ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว มหาชน (Banque Pour Le Commerce Exterieur Lao Public : BCEL) ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามสัญญาสนับสนุนทางการเงินระหว่าง BCEL กับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แก่บริษัท เบทาโกร (ลาว) อาหารสัตว์ จำกัด โดยมีนายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นางสายสะหมอน จันทะจัก ผู้อำนวยการ BCEL และนายสุรเชษฐ์ ทองบุญล้อม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มเบทาโกร ประเทศ สปป.ลาว และเมียนมาเป็นผู้ลงนาม เพื่อสนับสนุนเบทาโกร (ลาว) อาหารสัตว์ ขยายการลงทุนใน สปป.ลาว เป็นสกุลเงินกีบจาก BCEL โดยมี Standby Letter of Credit (SBLC) จาก EXIM BANK เป็นหลักประกัน ณ เวียงจันทน์ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568
การสนับสนุนเบทาโกร (ลาว) อาหารสัตว์ ครั้งนี้ถือเป็นโครงการแรกภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง BCEL และ EXIM BANK เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว โดยใช้เงินกีบเป็นเงินสกุลหลักในการดำเนินธุรกิจและหมุนเวียนในกิจการ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการใช้เงินสกุลกีบใน สปป.ลาว รวมทั้งลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของลูกค้า เสริมสร้างและเติมเต็ม Supply Chain การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับ สปป.ลาว ให้แข็งแกร่งและแข่งขันได้ในตลาดการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังส่งเสริมการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) ต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง อาเซียน และโลกโดยรวม
ทั้งนี้ สปป.ลาว เป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ในฐานะ “Land Link” เชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งทางบกระหว่างประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยเฉพาะเส้นทางผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโขง และมีปัจจัยดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ อาทิ อัตราค่าแรงขั้นต่ำ สิทธิพิเศษด้านภาษีและการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางการค้ากับต่างประเทศ ปัจจุบันไทยมีมูลค่าการลงทุนใน สปป.ลาว สูงเป็นอันดับที่ 2 รองจากจีน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคพลังงาน เกษตรกรรม ปศุสัตว์ การท่องเที่ยว และธุรกิจบริการ
SME D Bank คิกออฟโครงการ ‘Acceleration Program Road to LiVE 2025’สร้างเอสเอ็มอีสู่ตลาดหลักทรัพย์ เติมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
SME D Bank ร่วมกับ Deloitte Thailand เดินหน้าสานต่อโครงการ “Acceleration Program – Road to LiVE 2025” ปั้นธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ เข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะธุรกิจเข้มข้น เตรียมความพร้อม เข้าสู่ตลาดทุนไทย ดันเป็นหัวหอกขับเคลื่อนและผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นพันธกิจการเป็นสถาบันการเงินของรัฐเพื่อการพัฒนาเอสเอ็มอีสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยหนึ่งในพันธกิจที่สำคัญ คือ การพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่มีศักยภาพให้ได้รับการยกระดับ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และต่อยอดเอสเอ็มอีเข้าสู่ตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หรือ ตลาดหลักทรัพย์ LiVE Exchange (LiVEx) สร้างการเติบโตสู่การเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่เข้มแข็งในอนาคต อันจะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนและผลักดันระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ดังนั้น SME D Bank ร่วมกับ บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด (Deloitte Thailand) บริษัทตรวจสอบบัญชีชั้นนำ โดยผ่านการสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดตัวโครงการ “Acceleration Program – Road to LiVE 2025” มีวัตถุประสงค์เตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพให้มีความรู้และเข้าใจกลไกระดมทุนในตลาดทุน และมีมาตรฐานระดับสากลพร้อมเข้าสู่ตลาดทุนต่อไป
สำหรับโครงการ Acceleration Program – Road to LiVE 2025 มีกิจการที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารับการบ่มเพาะพัฒนาธุรกิจในรอบสุดท้าย จำนวน 24 กิจการ กำหนดการพัฒนาเชิงลึก 4 รูปแบบ ในระยะเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2568 ได้แก่ การอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ (Coaching) การสร้างเครือข่ายต่อยอดธุรกิจ (Networking) และจำลองการนำเสนอต่อนักลงทุนตัวจริง (Pitching) พร้อมรับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
ทั้งนี้ ธนาคารดำเนินโครงการดังกล่าว มาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (2566-2568) มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านการอบรมแล้ว ปี 2566 จำนวน 22 กิจการ , ปี 2567 จำนวน 21 กิจการ และล่าสุดในปี 2568 มีผู้เข้าร่วมอบรมเพิ่มอีกจำนวน 24 กิจการ นายพิชิต กล่าวเสริมว่า โครงการดังกล่าว สอดคล้องกับการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพต่อยอดสู่ตลาดทุนของธนาคาร ผ่านกระบวนการร่วมลงทุน ด้วยกองทุนย่อยที่ 1 ที่มุ่งเน้นธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรม และเอสเอ็มอีในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและสินค้าเกษตรแปรรูป และกองทุนย่อยที่ 2 มุ่งเน้นเอสเอ็มอีขนาดกลางที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ SME D Bank ร่วมลงทุนกับกิจการต่าง ๆ นับถึงเดือน 30 มิถุนายน 2568 จำนวน 51 กิจการ วงเงินมากกว่า 1,700 ล้านบาท สามารถช่วยผลักดันเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สำเร็จไปแล้ว 6 กิจการ แบ่งเป็น SET จำนวน 1 กิจการ mai จำนวน 3 กิจการ และ LiVEx จำนวน 2 ราย
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี