nn มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่หรอกที่มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน และ 6 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตถึงระดับ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะการส่งออกนั้นมีสัดส่วนสูง 65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

ปัจจัยหนุนที่ทำให้การส่งออกของไทยในช่วงดังกล่าวเติบโตก็มาจาก 1.วัฏจักรขาขึ้นในสินค้ากลุ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2.การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีเต็มที่ 3.การส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปยังคงขยายตัวสูงมาก 4.ปัจจัยฐานมูลค่าส่งออกเดือนมิถุนายน 2567 ค่อนข้างต่ำ

อย่างไรก็ตามในช่วงที่เหลือของปี 2568 และตลอดปี 2569 การส่งออกของไทยอาจจะไม่ขยายตัวได้ดีเหมือนที่ผ่านมา (6 เดือนแรกปี 2568) เนื่องจากไทยยังมีความเสี่ยงจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯที่เรียกเก็บจากไทย หลังจากพ้นเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ และปัจจัยหนุนหลักของการส่งออกที่มีในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เริ่มหมดลง เช่น วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจัย Frontload ก่อนสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า และปัจจัยจากการขยายตัวของการส่งออกทองคำ

การที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ก่อน โดยยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯทั้งหมด (Full
access) แลกกับการขอลดอัตราภาษีตอบโต้ รวมถึงยอมให้สหรัฐฯเก็บภาษีTransshipment (ภาษีนำเข้าสินค้าที่มีขั้นตอนการผลิตโดยใช้สินค้าจากห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศต่ำ) ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับประเทศอาเซียนอื่นๆ ซึ่งอาจกดดันให้ไทยจำเป็นต้องรีบเจรจากับสหรัฐฯ และยื่นข้อเสนอที่ดีขึ้นต่อสหรัฐฯ เพื่อต่อรองขอลดอัตราภาษีตอบโต้ให้ใกล้เคียงคู่แข่ง ซึ่งอาจจะหมายถึงไทยยอมเปิดตลาดเสรีให้สินค้าสหรัฐฯมากขึ้น คาดว่าจะเป็นสินค้าเกษตรสำคัญ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบวงกว้างต่อผู้ผลิตและการจ้างงานภายในประเทศ

ทั้งนี้ หากประเทศอาเซียนตกลงตามบรรทัดฐานใหม่ในการเจรจากับสหรัฐฯ อาจเห็นสินค้าสหรัฐฯ ไหลเข้าตลาดอาเซียนมากขึ้น ซ้ำเติมปัญหาสินค้าจีนล้นตลาดที่มีอยู่เดิม และกดดันให้การส่งออกในภูมิภาคอาเซียนลดลง ซึ่งจะกระทบภาคส่งออกไทยสูง เนื่องจากพึ่งพาตลาดอาเซียนสูงถึง 23.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด (ตัวเลขปี 2567) รวมถึงจะกระทบต่อภาคเกษตรและภาคการผลิตในประเทศที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าจีนและสหรัฐฯมากขึ้น