27 ก.ค. 2568 นสพ.The Nation ของปากีสถาน เผยแพร่บทความ ASEAN’s Silent Test ซึ่งเขียนโดย เอ็ม เอ ฮอสเซน (M A Hossain) นักวิเคราะห์การเมืองและการทหาร ซึ่งอยู่ในบังกลาเทศ เนื้อหาดังนี้
ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับน้ำหนักของประวัติศาสตร์ การเมืองแห่งความทรงจำ และความไม่มั่นคงของชาติ ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นอีกครั้งระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ใกล้กับปราสาทตาเมือนธม ศาสนสถานแบบศิลปะเขมร-ฮินดูที่มีอายุหลายศตวรรษ เป็นอีกหนึ่งเครื่องเตือนใจว่าอดีตที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปัจจุบันได้ เหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ กลายเป็นวิกฤตการณ์เต็มรูปแบบ
ฝ่ายไทยได้ติดตั้งลวดหนามตามแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาท ส่วนฝ่ายกัมพูชากล่าวหาไทยว่าเป็นผู้ยั่วยุ ท่าทีทางการทูตกลับกลายเป็นปฏิปักษ์ ทูตถูกเรียกตัวกลับประเทศ ปิดพรมแดน และระดมกำลังทหาร ผลลัพธ์ที่คาดเดาได้ตามมาคือ การโจมตีทางอากาศ การยิงจรวด การโจมตีทางอากาศ และพลเรือนติดอยู่ในเหตุการณ์ พลเรือนไทย 11 คนและทหาร 1 นายได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิต ขณะที่จรวดของกัมพูชาโจมตีหมู่บ้าน ทำให้ต้องอพยพผู้คนหลายหมื่นคน ไทยก็ตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบิน F-16 โดยกัมพูชาปฏิเสธความสูญเสียของตนเอง อ้างว่าเป็นการป้องกันตนเอง ขณะที่ไทยยืนยันว่าการรุกรานเริ่มต้นขึ้นที่อีกฟากหนึ่ง บทพูดนั้นเก่าแล้ว มีเพียงเหยื่อรายใหม่เท่านั้น
นี่ไม่ใช่การปะทุแบบโดดเดี่ยว ย้อนไปในเดือน พ.ค. 2568 การปะทะลักษณะเดียวกันนี้ได้คร่าชีวิตผู้คนไป แต่ในครั้งนั้นการทูตได้ช่วยทำให้เสียงปืนเงียบลง ต่างจากครั้งนี้ที่ความรุนแรงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงที่อันตราย การส่งกำลังทางอากาศแสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะขยายอิทธิพลออกไปนอกพื้นที่ปะทะ และความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้านกำลังตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในจุดต่ำสุดในรอบหลายปี
รากเหง้าของข้อพิพาทนี้อยู่ที่การทำแผนที่ในยุคอาณานิคม เส้นแบ่งเขตแดนที่แบ่งแยกประเทศไทยและกัมพูชาไม่ได้ถูกวาดโดยพวกเขาเอง แต่ถูกวาดโดยฝรั่งเศสและอังกฤษ ทิ้งความคลุมเครือที่กลายเป็นระเบิดเวลาไว้เบื้องหลัง สำหรับชาวกัมพูชา กลุ่มปราสาทต่างๆ เช่น ปราสาทตาเมือนธม คือหลักฐานอันศักดิ์สิทธิ์ของอารยธรรมอังกอร์ เป็นเครื่องเตือนใจถึงยุคทองทางวัฒนธรรม ในขณะที่สำหรับชาวไทย พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของมรดกที่พวกเขาเคยได้รับอิทธิพล ทั้งสองชาติตีความประวัติศาสตร์ผ่านเลนส์แห่งความภาคภูมิใจและความคับแค้นใจ การประนีประนอมกลายเป็นการทรยศหักหลัง การยินยอมกลายเป็นการปลุกปั่นความโกรธแค้นของความเป็นชาตินิยม
ประวัติศาสตร์สะท้อนภาพอันน่าสะพรึงกลัว ในปี 2554 การต่อสู้ที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นใกล้ปราสาทพระวิหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 28 ราย และทำให้ผู้คนหลายหมื่นคนต้องพลัดถิ่น ในขณะนั้น ประชาคมของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้เจรจากันอย่างเพียงพอเพื่อคลี่คลายความตึงเครียด แต่ในปัจจุบัน อาเซียนกลับดูอ่อนแอลง อาเซียนต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองในเมียนมา ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ศักยภาพในการจัดการวิกฤตของภูมิภาคนี้เสื่อมถอยลง ขณะเดียวกันความเสี่ยงก็ทวีความรุนแรงขึ้น
เรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่าผืนป่าเพียงไม่กี่กิโลเมตร เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สร้างอัตลักษณ์สมัยใหม่บนพื้นฐานพลวัตทางเศรษฐกิจและสันติภาพ ความขัดแย้งชายแดนระหว่าง 2 ประเทศสมาชิกอาเซียนกำลังคุกคามภาพลักษณ์ดังกล่าว เผยให้เห็นข้อจำกัดของสิ่งที่เรียกว่า “วิถีอาเซียน” อันได้แก่ ฉันทามติ การไม่แทรกแซง และการเจรจาที่ไร้ทางออกอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธ เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศลงทุนปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยเพื่อยับยั้งเหตุการณ์ในอนาคต ส่งผลกระทบต่อชีวิตของชุมชนชายแดนที่ต้องพึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยวในการดำรงชีวิต
10 ชาติสมาชิกของประชาคมกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ที่มา : World Atlas
และเช่นเดียวกับความขัดแย้งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขทั้งหมด ความขัดแย้งนี้มักดึงดูดอำนาจจากภายนอก กัมพูชามีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับจีน ขณะที่ไทยยังคงมีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ การขยายกำลังทหารที่ยืดเยื้อทำให้มหาอำนาจคู่ปรับเหล่านี้เปลี่ยนข้อพิพาททวิภาคีให้กลายเป็นเบี้ยบนกระดานหมากรุกอินโด-แปซิฟิกได้ง่ายขึ้น “สามเหลี่ยมมรกต” ซึ่งเป็นจุดที่ 3 ประเทศ คือไทย กัมพูชาและลาวมาบรรจบกันนั้นมีความเปราะบางทางภูมิรัฐศาสตร์มาโดยตลอด หากลาวรู้สึกว่าถูกคุกคามหรือบุคคลภายนอกเข้ามาแทรกแซง ความขัดแย้งอาจลุกลามเกินกว่าที่ไทยหรือกัมพูชาจะควบคุมได้
ต้นทุนด้านมนุษยธรรมกำลังเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ชาวบ้าน 40,000 คนถูกบังคับให้ละทิ้งบ้านเรือน กระสุนปืนใหญ่ถล่มโรงพยาบาล ผู้ลี้ภัยอาจอพยพข้ามพรมแดนในไม่ช้า ร่วมกับวิกฤตการณ์ที่มีอยู่ในภูมิภาคจากเมียนมา ความรุนแรงที่ผ่านไปทุกวันเสี่ยงที่จะทิ้งรอยแผลลึกที่คงอยู่ยาวนานยิ่งกว่าการหยุดยิงใดๆ
อาเซียนอยู่ตรงไหนในเรื่องนี้? อาเซียนมีกรอบการทำงานบนกระดาษ ได้แก่ สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือ เวทีสนทนาอาเซียนระดับภูมิภาค และสถาบันสันติภาพและความปรองดอง ในทางทฤษฎี อินโดนีเซียอาจกลับมามีบทบาทในฐานะคนกลางอีกครั้ง แต่หลักการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาเซียน (การทูตที่อิงฉันทามติและไม่แทรกแซง) ก็เป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน อาเซียนสามารถส่งเสริมการเจรจาได้ แต่ไม่สามารถบังคับได้ หากไทยหรือกัมพูชาเลือกที่จะลงมือ อาเซียนก็เหลือเพียงการเรียกร้องอย่างสุภาพให้ยับยั้งชั่งใจ แม้ว่าเสียงปืนจะยังคงดังอยู่ก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่แท้จริงคือเจตจำนงทางการเมือง ทั้ง 2 ประเทศต่างไม่ได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ไทยและกัมพูชาต่างพึ่งพาการท่องเที่ยวและการค้า ทั้ง 2 ชาติต่างเป็นสมาชิกที่น่าภาคภูมิใจของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน แต่รัฐบาลของทั้งกรุงเทพฯ และกรุงพนมเปญกลับถูกปิดกั้นด้วยแรงกดดันจากชาตินิยมภายในประเทศ การประนีประนอมกันย่อมมีต้นทุนทางการเมืองที่สูงลิ่ว ดังนั้นตรรกะของการยกระดับสถานการณ์จึงยังคงดำเนินต่อไป โดยแต่ละฝ่ายเชื่อว่าไม่สามารถกระพริบตาได้ก่อน แม้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะเสี่ยงมากกว่าหากไม่กระพริบตาเลยก็ตาม
ผลกระทบระยะยาวของการเพิกเฉยนั้นรุนแรง การขยายกำลังทหารออกไปเป็นเวลานานจะยิ่งทำให้ความไม่ไว้วางใจทวีความรุนแรงขึ้นและทำให้การกำหนดเขตแดนในอนาคตยากลำบากยิ่งขึ้น ผลกระทบด้านมนุษยธรรมจะยิ่งเป็นภาระแก่ชุมชนท้องถิ่นที่กำลังเผชิญความตึงเครียดอยู่แล้ว การหยุดชะงักทางการค้าจะบั่นทอนความฝันของอาเซียนที่จะสร้างภูมิภาคที่เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ข้อพิพาทระดับท้องถิ่นนี้อาจพัวพันกับการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่กว้างขึ้นระหว่างมหาอำนาจ ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับความทะเยอทะยานของผู้อื่นอีกครั้ง
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ข้อพิพาทอันขมขื่นก็สามารถจัดการได้เมื่อหลักปฏิบัตินิยมมีชัย ในปี 2554 หลังจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็กลับมาเจรจากันอีกครั้ง และในช่วงเวลาที่เงียบสงบกว่านั้น ไทยและกัมพูชาสามารถร่วมมือกันในด้านการค้า ความมั่นคง และแม้แต่โครงการท่องเที่ยวร่วมกันได้ ยังคงมีพื้นที่สำหรับการทูต หากรัฐบาลทั้ง 2 ยินดีที่จะก้าวข้ามผลประโยชน์ทางการเมืองในระยะสั้น และคำนึงถึงต้นทุนในระยะยาว
เขตแดนที่ถูกเจ้าอาณานิคมขีดเส้นไว้ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขุ่นเคืองใจอยู่เสมอ ทว่าในศตวรรษที่ 21 การยึดติดกับความคับข้องใจในอดีตไม่ได้เป็นประโยชน์แก่ใครเลย วัดวาอารามตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชานั้นเก่าแก่ แต่ความต้องการของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นกลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องการความปลอดภัย ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่คนรุ่นต่อไปที่ต้องอยู่ภายใต้เงาปืน
เวลาของชาตินิยมนั้นควรจะพอได้แล้ว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่อาจเผชิญกับความขัดแย้งที่กัดกร่อนอีกครั้งได้ ในขณะที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่กว่า ตั้งแต่วิกฤติสภาพภูมิอากาศไปจนถึงการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ สิ่งที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการในขณะนี้คือการทูตที่เงียบสงบแต่เด็ดเดี่ยว ไม่ใช่การคุกคามแบบเสียงดังอึกทึกคึกโครม อนาคตของภูมิภาคในฐานะพื้นที่แห่งสันติภาพและการเติบโตนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศเพื่อนบ้านในการยุติข้อโต้แย้งเก่าๆ ด้วยสติปัญญามากกว่าอาวุธ
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.nation.com.pk/27-Jul-2025/asean-s-silent-test
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี