นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนมิถุนายน 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการเร่งสต๊อกสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบกับการนำเข้าสินค้ายังขยายตัวต่อเนื่องเพื่อนำมาผลิตก่อนส่งออกเพิ่มขึ้น และรองรับการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ดัชนีราคาส่งออก เดือนมิถุนายน 2568 เท่ากับ 111.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวต่อเนื่อง ร้อยละ 0.7 (YoY) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงทองคำ ยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้ราคาส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง และส่งผลให้หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.8 ได้แก่ ทองคำ ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตามความต้องการเร่งนำเข้าสินค้าของประเทศคู่ค้าก่อนจะมีการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนไปยังตลาดโลก และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของชิ้นส่วนโลหะ ประกอบกับแนวโน้มอุณหภูมิของหลายประเทศที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น
และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 1.2 ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง ตามความนิยมอาหารพร้อมรับประทานเพิ่มขึ้น อาหารสัตว์เลี้ยง ตามความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพ เนื่องจากการให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะน้ำดื่มและน้ำผลไม้ ตามความต้องการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น
ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 10.9 ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ ตามอุปทานน้ำมันตลาดโลกเพิ่มขึ้น จากนโยบายปรับเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส และหมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 4.3 ได้แก่ ข้าว และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ซึ่งเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันด้านราคาจากประเทศคู่แข่ง ทำให้ความต้องการชะลอลง
ดัชนีราคานำเข้า เดือนมิถุนายน 2568 เท่ากับ 115.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.4 (YoY) ปัจจัยหลักเป็นผลจากความต้องการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อใช้ในการผลิต และรองรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ก่อนหมดช่วงผ่อนปรนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงความต้องการสินค้าเพื่อใช้อุปโภคบริโภคในประเทศ ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 8.0 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของประเทศ หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 5.5 โดยเฉพาะทองคำเป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทำให้ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น สำหรับอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะแผงวงจรไฟฟ้า ตามความต้องการชิ้นส่วนเพื่อผลิตสำหรับขายในประเทศและส่งออก และปุ๋ย เนื่องจากอุปทานตึงตัว ขณะที่ความต้องการในภาคเกษตรเพิ่มขึ้น
หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 4.7 ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพื่อรองรับการผลิตสำหรับส่งออก และการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัล และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 0.8 โดยเฉพาะส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามความต้องการอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์ สำหรับใช้ภายในประเทศและส่งออก รวมถึงรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 10.7 โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ตามการคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันจะปรับตัวสูงเกินกว่าอุปสงค์โลก
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า ไตรมาสที่ 3 ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ 1) ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรแปรรูป และอาหารในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง2) สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และ Data Center รวมถึงอุตสาหกรรม EV ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลกและ 3) ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้าหลัก 2) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค
3) ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายของหลายประเทศที่มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง 4) ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา และ 5) เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งเป็นข้อจำกัดของภาคการส่งออกไทย
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี