บีโอไอ จับมือ สภาธุรกิจสิงคโปร์ สร้างความร่วมมือลงทุนอุตฯเป้าหมาย

บีโอไอ จับมือ สภาธุรกิจสิงคโปร์ สร้างความร่วมมือลงทุนอุตฯเป้าหมาย

วันอังคาร ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 14.38 น.

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 บีโอไอ ร่วมกับสภาธุรกิจสิงคโปร์ (SBF) จัดงานใหญ่ Singapore Regional Business Forum ครั้งที่ 9 ณ โรงแรม The Ritz-Carlton กรุงเทพฯ เพื่อประกาศความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดงานนี้ในประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย–สิงคโปร์ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายตัน ซี เหล่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีกำกับดูแลด้านพลังงานและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม สาธารณรัฐสิงคโปร์เป็นประธานร่วม งานนี้มีนักธุรกิจชั้นนำและผู้บริหารภาครัฐจากสิงคโปร์ เดินทางมาเข้าร่วมงานกว่า 200 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้นําภาครัฐและเอกชนจากไทยและประเทศอื่น ๆ เข้าร่วมงานด้วย รวมมากกว่า 450 คน จาก 25 ประเทศทั่วโลก

นายพิชัย ชุณหวชิร กล่าวเปิดงานว่า การจัดงาน Singapore Regional Business Forum ครั้งนี้มีความหมายพิเศษ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างไทย-สิงคโปร์ครบ 6 ทศวรรษ ซึ่งสะท้อนถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นและความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาภูมิภาคสู่ความเจริญรุ่งเรือง โดยที่ผ่านมาไทยและสิงคโปร์มีพัฒนาการความร่วมมือกันในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และยังครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมในอนาคตโดยเฉพาะด้านดิจิทัลและพลังงานสะอาด


"ความสัมพันธ์ไทย–สิงคโปร์ยืนยาวกว่าครึ่งศตวรรษและยังคงแข็งแกร่ง โดยในปีที่ผ่านมาสิงคโปร์เป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในประเทศไทย และครึ่งแรกของปีนี้ มูลค่าการลงทุนจากสิงคโปร์ยังคงนำเป็นอันดับหนึ่ง ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมามีการลงทุนในโครงการสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น SATS Food ผู้ผลิตอาหารสำหรับบริโภคบนเครื่องบิน และยังจัดตั้งศูนย์ R&D ในไทย บริษัท Oatside ผู้ผลิตนมข้าวโอ๊ตชั้นนำ และ CapitaLand ที่ร่วมกับบริษัทไทยพัฒนาศูนย์กระจายสินค้ามาตรฐานสูง นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์ผ่านกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น AFTA และ RCEP ที่ช่วยขยายโอกาสทางการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ลึกซื้ง และเข้มแข็งมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็น มิตรภาพระหว่างไทยและสิงคโปร์ เป็นตัวอย่างความร่วมมือที่มีเป้าหมายในการสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองและยั่งยืนไปพร้อมกัน" นายพิชัย กล่าว

นายตัน ซี เหล่ง กล่าวว่า ไทยและสิงคโปร์มีเป้าหมายเดียวกันในการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจและพัฒนาโอกาสใหม่ร่วมกัน ที่ผ่านมาสิงคโปร์มีการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในไทย แต่สิ่งที่มากกว่านั้น คือความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมและความยั่งยืนทางธุรกิจร่วมกันเพื่อประชาชนของทั้งสองประเทศ เช่น โครงการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน และนวัตกรรมในการดูแลสุขภาพของคนไทย นอกจากนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือในหลายด้าน เช่น อีคอมเมิร์ซ ฟินเทค การค้าสินค้าเกษตร และการลดก๊าซเรือนกระจก

“โลกปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ห่วงโซ่อุปทานที่กำลังเปลี่ยนแปลง และความมั่นคงด้านพลังงาน ตลอดจนเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน ในสภาวะเช่นนี้ ความร่วมมือทวิภาคีในระดับภูมิภาคจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวที่มีมูลค่ามหาศาล และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งสิงคโปร์และไทยมีแผนทำงานร่วมกัน เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส ร่วมสร้างเศรษฐกิจในภูมิภาคที่แข็งแกร่งและยั่งยืน” นายตัน ซี เหล่ง กล่าว

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาค เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงธุรกิจดิจิทัลที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยจุดแข็งและความพร้อมของไทย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ไฟฟ้าที่มีความเสถียรและมีศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง บุคลากรที่มีคุณภาพ นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รวมทั้งตลาดที่มีศักยภาพ ทั้งตลาดภายในประเทศและเป็นประตูสำคัญสู่ตลาดใหญ่ทั่วโลกผ่านข้อตกลงการค้า FTA รวมถึง RCEP ที่ครอบคลุมประชากรถึงร้อยละ 30 ของโลก

ทั้งนี้ ในงานนี้ เลขาธิการบีโอไอและซีอีโอสภาธุรกิจสิงคโปร์ (SBF) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ และการท่องเที่ยว พร้อมมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวร่วมกัน

“การสร้างความร่วมมือระหว่างไทยกับสิงคโปร์ครั้งนี้ จะเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนระหว่างสองประเทศ โดยผสานจุดแข็งของสิงคโปร์ที่มีความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และเครือข่ายธุรกิจทั่วโลก ขณะที่ไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพลายเชน พื้นที่รองรับอุตสาหกรรม พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ที่สามารถรองรับการสร้าง Green Supply Chain ร่วมกัน เพื่อให้นักลงทุนทั้งไทยและสิงคโปร์ เดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับสถิติการลงทุนจากสิงคโปร์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563 – มิถุนายน 2568) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 1,099 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 8.1 แสนล้านบาท นำโดยอุตสาหกรรมดิจิทัล ประมาณ 4 แสนล้านบาท อิเล็กทรอนิกส์ 1.9 แสนล้านบาท ยานยนต์และชิ้นส่วน 6.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีทั้งบริษัทสิงคโปร์ และบริษัทจากประเทศอื่น ๆ ที่ลงทุนผ่านสำนักงานภูมิภาคที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ โดยการลงทุนจากบริษัทสิงคโปร์ส่วนใหญ่อยู่ในกิจการดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์และดิจิทัลแพลตฟอร์ม กิจการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ กิจการผลิตอาหารที่ใช้เทคโนโลยีสูง กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กิจการโรงแรม และกิจการด้านโลจิสติกส์

-031

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top