นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กรกฎาคม2568) ให้ผลตอบแทนติดลบ 10.06% โดยยังเผชิญความไม่แน่นอนจากหลากหลายปัจจัย เช่น มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงและรอการแก้ไข,เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มที่จากปัจจัยการเมืองขาดเสถียรภาพ ส่งผลให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์บริษัทได้ปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น(EPS) ปี 2568 ลงจาก 92 บาทต่อหุ้น เหลือ 82 บาทต่อหุ้น จากงบการเงินครึ่งปีแรก (อัตราการปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นน้อยลงในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่ผ่านมา)

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ประเมินว่าไตรมาส 3 ปี 2568 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุดก่อนจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 หากความเสี่ยงทางการเมืองไม่มีความรุนแรงและหาจุดลงตัวได้ ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มไม่ส่งผลกระทบเกินคาด เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มอาเซียนภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว มีโอกาสที่หุ้นไทยจะค่อยๆฟื้นตัวสู่เป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2568ในกรอบ 1,280 จุด โดยอ้างอิงสมมติฐานการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 6.6% และค่า P/E เฉลี่ย 15.7 เท่า

แนะนำนักลงทุนใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้นโดยมองว่าหุ้นกลุ่ม “Global Play”ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกและมูลค่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และผู้ผลิตอาหารสัตว์มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มนำตลาดรอบนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่ม “Domestic Play” ยังถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้าซึ่งกลุ่มที่ถูกกระทบมาก เช่น อสังหาริมทรัพย์, การก่อสร้าง, ไฟแนนซ์เช่าซื้อ, สินเชื่อบุคคล และสื่อมีเดีย ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลางถึงน้อย ได้แก่ ธนาคาร, ร้านสะดวกซื้อ, โรงพยาบาล และท่องเที่ยว