กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยสถิติจดทะเบียนประจำเดือนกรกฎาคม 2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,710 ราย เพิ่มขึ้น 9.78% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ทุนจดทะเบียนรวม 22,018 ล้านบาท รวมถึงยอด 7 เดือนที่ผ่านมาสะสมอยู่ที่ 51,548 ราย ทุนจดทะเบียน 171,158 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ขณะที่การลงทุนของชาวต่างชาติ 7 เดือนแรกทะยานกว่า 75% นำโดยญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสิงคโปร์ บ่งชี้ศักยภาพการเป็นศูนย์กลางลงทุนในภูมิภาค พร้อมชี้ “ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” เป็นธุรกิจดาวรุ่ง เปลี่ยนพื้นที่เล็ก ๆ ให้กลายเป็นโอกาสสร้างรายได้มหาศาลในยุคดิจิทัล
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,710 ราย เพิ่มขึ้น 687 ราย (9.78%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (7,023 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 22,018 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,905 ล้านบาท (21.56%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (18,113 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 617 ราย ทุนจดทะเบียน 1,150 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 389 ราย ทุนจดทะเบียน 2,623 ล้านบาท 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 286 ราย ทุนจดทะเบียน 488 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.00%, 5.05% และ 3.71% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนกรกฎาคม 2568 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2568 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 3,206.37 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เหอลี่ อินดัสเทรียล วีฮีเคิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทุนจดทะเบียน 2,001.88 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิต ประกอบและจำหน่ายยานยนต์อุตสาหกรรมครบวงจร และบริษัทดับเบิ้ลยูทียู ซินดิเคท จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,204.49 ล้านบาท ประกอบกิจการซื้อขาย แลกเปลี่ยน เช่า พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ขายฝาก ตลอดจนทะเบียนสิทธิ์ใดๆ ซึ่งอาคารชุด
อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า การจัดตั้งใหม่ช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีจำนวน 51,548 ราย ลดลง 2,672 ราย (-4.93%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (54,220 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 171,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,375 ล้านบาท (1.41%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (168,783 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 4,107 ราย 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,259 ราย และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2,118 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7.97%, 6.32% และ 4.11% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในช่วง 7 เดือนของปี 2568 ตามลำดับ
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนกรกฎาคม 2568 มีจำนวน 1,825 ราย เพิ่มขึ้น 357 ราย (24.32%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (1,468 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 20,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,753 ล้านบาท (93.75%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (10,403 ล้านบาท) สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 160 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 393 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 96 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 390 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 76 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 203 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.77%, 5.26% และ 4.16% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนกรกฎาคม 2568 ตามลำดับ
ทั้งนี้ เดือนกรกฎาคม 2568 มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการถึง 3 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 14,068 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท อินโดรามา ปิโตรเคม จำกัด ทุนจดทะเบียน 10,146.17 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิต ส่งออก นำเข้า ทำ ซื้อ ขาย แผ่นโพลีเอสเตอร์ เส้นใยโพลีเอสเตอร์ เส้นด้าย โพลีเอสเตอร์, บริษัททรู ไลฟ์ พลัส จำกัด ทุนจดทะเบียน 2,575 ล้านบาท ประกอบกิจการให้บริการเกมส์ออนไลน์ และบริษัท ทรู อีโลจิสติกส์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,347 ล้านบาทประกอบธุรกิจให้บริการข้อมูลข่าวสารวิชาการในด้านการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาการบริหารการพัฒนาองค์การเทคโนโลยี และอื่นๆ
การจดทะเบียนเลิกช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีจำนวน 8,069 ราย เพิ่มขึ้น 140 ราย (1.77%) เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนของปี 2567 (7,929 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 50,700 ล้านบาท ลดลง 34,880 ล้านบาท (-40.76%) เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนของปี 2567 (85,579 ล้านบาท) โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 707 ราย 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 412 ราย และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 352 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8.76%, 5.11% และ 4.36% จากจำนวนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ตามลำดับ
สำหรับสัดส่วนของการจัดตั้งธุรกิจและจดเลิกในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 6:1 กล่าวคือ จัดตั้ง 6 ราย เลิก 1 ราย โดยสัดส่วนนี้เท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ทั้งนี้ ในปี 2568 มีจำนวนจัดตั้งใหม่ 51,548 ราย ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่มีจำนวน 48,040 ราย และยังคงเป็นไปตามวัฎจักรของการจดทะเบียนธุรกิจ สำหรับประเภทธุรกิจที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นในช่วง 7 เดือนของปี 2568 ใน 3 อันดับแรก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 คือ 1) ธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เพิ่มขึ้น 317 รายคิดเป็น 50.16% 2) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด เพิ่มขึ้น 280 ราย คิดเป็น 46.90% และ 3) ธุรกิจขนส่ง ขนถ่ายสินค้า และคนโดยสาร เพิ่มขึ้น 229 ราย คิดเป็น 23.46%
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,016,377 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.02 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 965,012 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.71 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 763,913 ราย หรือ 79.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.98 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 199,604 ราย หรือ 20.68% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 1,495 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.30 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 523,600 ราย ทุนจดทะเบียน 13.11 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 315,348 ราย ทุน 2.58 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 126,064 ราย ทุน 7.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.26%, 32.68% และ 13.06% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี