รายงานพิเศษ :  บทเรียนจากชุมชน‘เกาะกลาง’ สอนให้รู้ว่าต่อจากนี้‘ขยะ’ไม่ใช่สิ่งไร้ค่าอีกต่อไป

รายงานพิเศษ : บทเรียนจากชุมชน‘เกาะกลาง’ สอนให้รู้ว่าต่อจากนี้‘ขยะ’ไม่ใช่สิ่งไร้ค่าอีกต่อไป

วันจันทร์ ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

**ท่ามกลางปัญหาการจัดการขยะที่ท้าทายของสังคมไทย “ชุมชนเกาะกลาง” ได้ลุกขึ้นมาพิสูจน์ให้เห็นว่า “ขยะไม่ใช่ขยะ” หากจัดการอย่างถูกวิธี และ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” สามารถเกิดขึ้นได้จริงจากระดับฐานราก ขยะรีไซเคิลสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและปากท้อง สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในชุมชน เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ขับเคลื่อนด้วยหัวใจของคนธรรมดาที่ไม่ยอมแพ้ “อิ๋ว-จุไรรัตน์ เครือพิมาย” และ “จ่อย-ผ่องศรี สอนคุ้ม” สองกำลังสำคัญของศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะชุมชนเกาะกลาง ชุมชนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เกาะเล็กๆ ขนาด 3 ไร่ กลางคลองพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ชุมชนเกาะกลางไม่ต่างจากหลายชุมชนในเมืองหลวง ที่ชีวิตดำเนินไปอย่างตัวใครตัวมัน ด้วยสภาพพื้นที่ที่เป็นเกาะ ทำให้ขนย้ายขยะออกไปได้ยาก ขยะจำนวนมากจึงถูกทิ้งรวมกันในที่สาธารณะ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน ทุกคนเห็นปัญหา แต่จำยอมกับสภาพที่เป็นอยู่ ปี 2552 คือปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมความสูญเสียครั้งใหญ่ เหตุเพลิงไหม้ที่เกิดจากปัญหายาเสพติดได้เผาผลาญบ้านเรือนไป 19 หลังคาเรือน ส่งผลให้ 33 ครอบครัวกลายเป็นผู้ประสบภัยในชั่วข้ามคืน


จากวิกฤตสิ้นเนื้อประดาตัวสู่จุดเปลี่ยน

“เรากลายเป็นผู้สูญเสีย เอาอะไรออกมาไม่ได้เลย ได้แค่เสื้อผ้าติดตัวคนละชุด ต้องไปอยู่ใต้ทางด่วน ได้แต่ยืนดูความหายนะของบ้านตัวเอง” อิ๋ว-จุไรรัตน์ หนึ่งในผู้ประสบภัย เล่าด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเจ็บปวด เหตุการณ์นี้เป็นบาดแผลครั้งใหญ่ที่ทำให้ตัวเธอและชาวบ้านคนอื่นๆ ต้อง “ลุกขึ้นมาจัดการตัวเองครั้งใหญ่” เพราะ...“ถ้าจะมานั่งรอให้คนอื่นเขามาช่วยเหลือ มันไม่มีทาง” จากความสิ้นหวังในกองเถ้าถ่านวันนั้น คือจุดพลิกผันที่ทำให้ชุมชนเกาะกลางก้าวสู่การจัดการปัญหาที่อยู่อาศัย จากนั้นจึงขยับมาสู่งานด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องขยะอย่างจริงจัง

จากสองชีวิตที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ด้วยหัวใจที่รักการช่วยเหลือสังคม เห็นอะไรที่รกหูรกตาก็อยากจัดการให้ดีขึ้น ทำให้ อิ๋ว-จุไรรัตน์ และ จ่อย-ผ่องศรี ได้กลายมาเป็น “ผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน” ทั้งคู่เล่าว่า การเริ่มต้นรณรงค์ให้คนในชุมชนหันมาแยกขยะไม่ใช่เรื่องง่าย คำพูดที่ได้ยินจนชินหูคือ “โอ๊ย! มันทำไม่ได้หรอก” หรือ “จะแยกไปทำไม คนไทยจะบอกทิ้งๆไปเถอะ”

สิ่งที่ต้องทำ คือเปลี่ยนความคิดคนในชุมชน โดยเริ่มจากตัวเราและครอบครัวทำให้เห็นก่อน จึงจะไปบอกคนอื่นได้ ทั้งการทำน้ำหมักชีวภาพใช้เอง แยกขยะให้เห็นว่ามันสร้างมูลค่าได้ ต้องสื่อสารให้ชาวบ้านเข้าใจว่า “ถ้าทิ้งสุมๆกันนั่นแหละคือขยะ แต่เมื่อไหร่ที่แยกขวด แยกพลาสติก แยกทุกอย่างออกมา แล้วก็เศษอาหารออกไป นั่นแหละมันคือมูลค่า”

ทั้งคู่ใช้วิธี “พูดซ้ำๆ บอกบ่อยๆ และทำให้เห็น” สิ่งสำคัญคือ การสร้างแรงจูงใจ ทุกครั้งที่ประชุมกัน อิ๋ว-จุไรรัตน์ จะมีของติดไม้ติดมือที่ทำเองจากของเหลือใช้ เช่น สบู่ น้ำยาล้างจาน ให้ชาวบ้าน เพื่อแลกกับการเสียเวลามานั่งฟัง การแสดงให้เห็นว่าการแยกขยะนั้นสร้างรายได้ และช่วยลดปริมาณขยะในครัวเรือนได้จริง ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจมากขึ้น และเมื่อชุมชนได้รับรางวัลจากโครงการต่างๆ ก็ยิ่งเป็นกำลังใจ

DOW พันธมิตรที่เข้ามา“เสริมแรง”

การสนับสนุนจากภายนอก ยังเป็น “แรงเสริม” ที่สำคัญ ทำให้เกิดพลังในการขับเคลื่อน หนึ่งในนั้นคือ “กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow)” ที่ไม่ได้เข้ามาเพียงแค่มอบเงิน แต่เข้ามาให้ “ความรู้” และ “เครื่องมือ” ที่ยกระดับการทำงานของชุมชน “เขามาสอนว่า เราจะคัดแยกขยะประเภทต่างๆยังไง พวกถุงพลาสติกก็มีราคา เราเพิ่งจะรู้” จ่อย-ผ่องศรี เล่า “แต่ก่อนชาวบ้านจะรู้แค่กล่อง ขวด ลังเบียร์ที่ขายได้ นอกนั้นทิ้งรวมกันหมด พอ Dow เข้ามา เขาก็มาสอนพวกนี้” Dow ยังสนับสนุนเครื่องมือที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เครื่องอัดขวดพลาสติก ที่ช่วยแก้ปัญหาพื้นที่จัดเก็บที่จำกัด ทำให้ขนส่งง่าย และขายได้ราคาดีขึ้น

อิ๋ว-จุไรรัตน์ เล่าว่า นอกจากความรู้และเครื่องมือ Dow ยังได้ร่วมสนับสนุนการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะชุมชนเกาะกลาง” อย่างเป็นทางการ จนเกิดกลไกในการรับซื้อขยะรีไซเคิลที่คนในชุมชนบริหารจัดการกันเอง แบ่งรายได้ 50% เป็นค่าใช้จ่ายภายในศูนย์ฯ, 30% เป็นเงินทุนหมุนเวียน และ 20% คืนกลับสู่สังคมในรูปแบบกิจกรรมชุมชน โดยมี “จ่อย-ผ่องศรี” ผู้จัดการศูนย์ฯ และ “อิ๋ว-จุไรรัตน์” ผู้ประสานงานศูนย์ฯ เป็นสองกำลังหลักที่ทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน แต่ขับเคลื่อนการจัดการขยะด้วยใจอาสา และความสุขที่ได้มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงชุมชนเกาะกลางให้ดีขึ้น และช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

วันนี้หากใครได้ไปเยือนชุมชนเกาะกลาง จะเห็นภาพที่แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง พื้นที่ที่เคยรกและสกปรก กลับสะอาดตา เป็นระเบียบ มีถังขยะแยกประเภทตั้งอยู่เป็นจุดๆ “แม้แต่ไรเดอร์ที่มาส่งอาหารยังชมเลยว่า ที่นี่สะอาด น่าอยู่” อิ๋ว-จุไรรัตน์ เล่าด้วยความภูมิใจ

ปัจจุบันชาวบ้านประมาณครึ่งหนึ่งในชุมชน ได้หันมาคัดแยกขยะอย่างสม่ำเสมอ โดยศูนย์ฯรับซื้อขยะรีไซเคิลแทบทุกประเภท รวมถึงขยะที่ขายไม่ได้ก็ช่วยรับฝากส่งต่อให้เขต ส่วนขยะอาหารก็นำไปทำปุ๋ย และมีการสะสมแต้มเพื่อแลกสิ่งของ เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ มาม่า สบู่ ฯลฯ “ทำแล้วบ้านคุณก็ได้ลดขยะ และยังได้เงินด้วย” นี่คือหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนใจคนให้มาแยกขยะ ที่ผ่านมาชุมชนเกาะกลางมีรายได้จากการขายขยะเฉลี่ยประมาณ 300 บาท/เดือน/ครัวเรือน และเมื่อรวมมูลค่าจากการขายและแปรรูปทั้งหมด สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชนได้ถึงปีละนับแสนบาท

ทั้งคู่เล่าว่า ทุกวันนี้ “ขยะ” ไม่ใช่สิ่งไร้ค่าอีกต่อไป แต่เป็นแหล่งรายได้สำคัญ และเป็นปากท้องของใครหลายคนในชุมชน ตัวอย่างเช่น “ยายนำ” ที่มีอาชีพเป็นแม่บ้านทำความสะอาด รวบรวมขยะจากบริษัทและที่บ้าน นำมาขายที่ศูนย์ฯ ได้เงินมากถึงเดือนละ 2,000 บาท สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ การที่ขยะกลายเป็นความหวังในยามขัดสน “มีบางคนที่เขาจะมาถามว่าเมื่อไหร่จะเปิดรับซื้อขยะ ฉันไม่มีเงินกินข้าว” จ่อย-ผ่องศรี เล่า “เราก็จะบอกว่าเอามาเลย เดี๋ยวให้เงินก่อน ไม่ต้องรอถึงวันนัด เพราะรู้ว่าเขาไม่มีจริงๆ” นอกจากนี้ยังมีผู้สูงอายุที่นำขยะมาแลกเงินเป็นค่ากับข้าวหรือค่าขนมให้หลานไปโรงเรียน นี่คือคุณค่าของขยะที่ประเมินเป็นตัวเงินไม่ได้

“ขยะที่เคยถูกมองว่าไร้ค่า ตอนนี้มันกลายเป็นทุกอย่าง” อิ๋ว-จุไรรัตน์ กล่าว “มันคือความสบายใจ คือความสุขที่ได้เห็นชุมชนสะอาด และคือเงินที่ช่วยต่อชีวิตให้คนในยามลำบาก”

ปัจจุบันโครงการจัดการขยะของเกาะกลาง ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จภายในชุมชนเท่านั้น แต่ยังขยายผลไปยังชุมชนนอกเกาะ โดยเฉพาะบริเวณใต้ทางด่วน ที่มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการคัดแยกขยะเพิ่มขึ้น 27 ครัวเรือน กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ อิ๋ว-จุไรรัตน์ ยอมรับว่า ตลอดเส้นทางการขับเคลื่อนเรื่องขยะมากว่าทศวรรษ แน่นอนว่า เคยมีบ้างที่รู้สึกท้อ “แต่ด้วยความที่เราเป็นคนทำงาน ชาวบ้านไม่ทำ เราต้องทำ”

บทเรียนความสำเร็จจากเกาะกลางคือ “ทำดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” หากคนรอบข้างยังไม่เอาด้วย ก็ “ทำให้เขาเห็น” และแม้เขาไม่ทำ ก็ให้ “ทำเผื่อให้ด้วย” เช่น เก็บขยะหน้าบ้านให้ การทำอย่างสม่ำเสมอจะกลายเป็นนิสัย และในที่สุดคนอื่นก็จะเห็นคุณค่าและเปลี่ยนมาถามเองว่า “เอาขยะไหม” และเรื่องราวของชุมชนเกาะกลางได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พลังของคนตัวเล็กๆ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้จริง การจัดการขยะไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับชุมชน เปรียบเหมือนการ “จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด” ที่พร้อมจะส่องสว่างเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมไทยหันมาเห็นคุณค่าของ “ขยะ” และร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม 

**อนันตเดช พงษ์พันธุ์**

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top