ศก.ไทยมีหลายโจทย์ยาก รอวัดฝีมือ‘ดรีมทีม’รัฐบาลอนุทิน

ศก.ไทยมีหลายโจทย์ยาก รอวัดฝีมือ‘ดรีมทีม’รัฐบาลอนุทิน

วันพุธ ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.30 น.

หลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจ ก็ได้รับเสียงตอบรับจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจเป็นอย่างดี เนื่องด้วยแต่ละบุคคลที่จะเข้ามับตำแหน่งในกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ล้วนแต่มีความรู้ความสามารถตรงกับสายงานที่รับผิดชอบและเป็นบุคคลที่ไม่ใช่นักการเมือง

อย่างไรก็ตามมีความท้าทายที่รออยู่พอสมควร เนื่องจากปัญหาของเศรษฐกิจไทยนั้น มีทั้งปัญหาเฉพาะหน้า  ปัญหาระยะยาว และปัญหาระดับเชิงโครงสร้าง แต่รัฐบาลชุดนี้มีเวลาเพียงแค่ 4 เดือนก่อนยุบสภา และอีกประมาณ 4 เดือนในช่วงการรักษาการ โดยปัญหาเศรษฐกิจไทยที่เจออยู่ในขณะนี้และรัฐบาลต้องเร่งดำเนินการเร่งด่วน เช่น  สร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ลดต้นทุนด้านพลังงานให้ผู้ประกอบการ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี เพิ่มสภาพคล่อง ลดภาษี แก้ไขปัญหาหนี้เสีย รวมทั้งเร่งเจรจาการค้ากับต่างประเทศ ปรับปรุงระบบธุรกิจและภาษีให้ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อนเอื้อต่อการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ


นอกจากนี้ในส่วนของภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอีกเครื่องยนต์สำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย ขณะนี้ไม่ดีเหมือนเดิมแล้วหลังเผชิญแรงกดดันจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงไปจำนวนมาก จากปัญหาขาดความเชื่อมั่น และหันไปท่องเที่ยวประเทศอื่น อย่างญี่ปุ่นและเวียดนาม ซึ่งล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 สิงหาคม) มีจำนวนสะสม 21,879,476 คน ลดลง 7.16% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,014,303 ล้านบาท ลดลง 5.4%  ดังนั้นโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำคือฟื้นความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงเข้ามามากขึ้น พร้อมกับการเปิดตลาดใหม่ รวมถึงจัดแคมเปญดึงคนไทยเที่ยวไทย

ในขณะเดียวกันในเรื่องของการส่งออกก็ยังต้องมีงานหนักที่รออยู่ข้างหน้า จากผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐฯเรียกเก็บจากสินค้าของประเทศคู่ค้าที่มีการเกินดุลการค้า และประเทศไทยเจอในอัตรา 19%  และยังต้องติดตามภาษีสินค้าอ้อมผ่านประเทศที่สาม (Transshipment) และเงื่อนไขในทุกรายการสินค้าที่นำเข้าและส่งออกระหว่างกัน ซึ่งสหรัฐฯอยู่ระหว่างการเจรจา รวมถึงประเทศไทย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 เดือน หรือก่อนสิ้นปี 2568  ดังนั้นระหว่างทางการส่งออกของไทยยังเจอความเสี่ยงอยู่ แม้ก่อนภาษี Tariff ของสหรัฐฯมีผล ทุกประเทศเร่งนำเข้าไว้เป็นสต๊อก จนตัวเลขส่งออกพรวดเกิน 10% สูงกว่าคาดการณ์ไว้ 2-3% บวกกับค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ราคาสินค้าไทยแพงกว่าประเทศส่งออกประเภทเดียวกัน 7-8%  จะเพิ่มแรงกดดันต่อการส่งออกไตรมาสส่งท้ายปี 2568 นี้ถึงต้นปี 2569   และต้องรับมือสินค้าไหลเข้าจากจีนหรือประเทศที่ส่งเข้าสหรัฐฯไม่ได้เทเข้ามาดัมพ์ตลาดไทยอีกด้วย ประกอบกับมีเรื่องที่ต้องเร่งทำก่อนสิ้นปี 2568 คือ การเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ให้สำเร็จ ซึ่งจะเป็นอีกเครื่องมือช่วยเพิ่มการค้าไทย แต่ตอนนี้ยังติดประเด็นที่หลายชาติยังไม่ยินยอมต่อข้อตกลงของไทย ซึ่งการลงเสียงอียู 27 ประเทศไม่ครบ ทำให้เอฟทีเอฉบับนี้จะล่าช้าออกไป

ส่วนปัญหาปากท้องในประเทศอีกเรื่องคือมาตรการและแนวทางช่วยเหลือภาคเกษตร โดยเฉพาะการแก้ปัญหาผลผลิตข้าวเปลือกล้นตลาดและราคาต่ำ จากปัจจัยหลักฝนชุก แม้ส่งผลดีต่อผลผลิตข้าวเปลือกนาปรัง-นาปรังมากขึ้น แต่สวนทางกับปริมาณส่งออกข้าวไทยมีโอกาสหดตัวหนักอีกครั้ง จากกระแสข่าวอินเดียเตรียมระบายสต๊อกข้าว 20 ล้านตัน และผลผลิตข้าวของประเทศผู้นำเข้าสำคัญมีมากขึ้น เริ่มเห็นสัญญาณแล้วจากชาวนาร้องทุกข์ว่าเคยขายข้าวเปลือกเจ้าได้กว่า 7,000-8,000 บาทต่อตัน วันนี้ราคารูดเหลือ 5,500-6,000 บาท และยังมีพืชเศรษฐกิจอื่นๆรอแก้ปัญหาเดียวกัน ทั้งมันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำมันปาล์ม และผลไม้ ทั้งหมดนี้มีงบประมาณพร้อมช่วยเหลือเฉพาะด้าน ซึ่งต้องทำควบคู่กับลดภาระค่าครองชีพประชาชน แม้เงินเฟ้อต่ำแต่ราคาอาหารจานด่วนไม่ต่ำตาม

ทั้งนี้โจทย์สำคัญของเศรษฐกิจไทยขณะนี้นั้น สอดคล้องกับเสียงเรียกร้องของภาคเอกชนหลายๆส่วน อาทิเช่น นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ระบุว่านอกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่ง ที่รัฐบาลของนายอนุทินเตรียมดำเนินการทันทีนั้น ในส่วนของ ส.อ.ท. อยากให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเมด อิน ไทยแลนด์ เพราะจะสร้างพายุหมุนได้จริง โดยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐปัจจุบันกระทรวงการคลัง  กรมบัญชีกลาง กำหนดสัดส่วนเมด อิน ไทยแลนด์ จากเอสเอ็มอีจะได้แต้มต่อ 5% อยากให้เพิ่มเป็น 10-20% ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จนกว่าสถานการณ์เอสเอ็มอีที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนักเริ่มคลี่คลาย หากขยายได้จะทำให้มีปริมาณเงินหมุนในระบบหลายแสนล้านบาท

นอกจากนี้ได้หารือถึงการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ที่ยังต้องดำเนินการต่อ โดยเฉพาะในรายละเอียดเรื่องโลคอลคอนเทนต์ว่าจะใช้มาตรฐานใด และอุตสาหกรรมใดที่ทำได้ และอุตสาหกรรมใดที่ทำไม่ได้ จะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งไหลของสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาด ซึ่งไทยโดนมากที่สุด และกระทบกับเอสเอ็มอีจำนวนมาก คาดหากสถานการณ์ดังกล่าวยังดำเนินการต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นจาก 24 กลุ่ม ในปี 2567 เป็น 30 กลุ่มในปี 2568 นี้  และ ส.อ.ท. ขอให้รัฐบาลรลดต้นทุนพลังงานให้กับผู้ประกอบการและประชาชน ซึ่งผู้ประกอบการประสบปัญหาต้นทุนราคาพลังงานที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะต้องลดราคาพลังงานลงให้ได้  โดย ส.อ.ท.ไม่เห็นด้วยกับนโยบายพูลก๊าซที่ผลักภาระให้ภาคอุตสาหกรรม ทำให้ต้นทุนผลิตสูงขึ้นถึง 50% แต่ค่าไฟลดเพียง 2-3% นโยบายนี้จะกระทบเศรษฐกิจวงกว้างและการลงทุนของประเทศ

นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาฯและอุตสาหกรรมก่อสร้าง อยากให้รัฐบาลลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2569 ขยายบทบาทบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้ค้ำประกันสินเชื่อผู้ซื้ออสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัยได้ มีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เช่น ขยายเพดานลดค่าโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% จากเดิมไม่เกิน 7 ล้านบาท เป็นราคามากกว่า 7 ล้านบาท ตรวจสอบนอมินีต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจอสังหาฯและการก่อสร้าง เป็นต้น

เช่นเดียวกัน นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่ระบุว่าอยากให้รัฐบาลใหม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีล้านละหมื่นที่จะสิ้นสุดในเดือนธันวาคมนี้ออกไปอีก และขยายวงเงินคืนสูงสุดจาก 100,000 บาท เป็น 200,000 บาท   และ นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย ที่ระบุว่า อยากให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการลดค่าโอนและจดจำนองบ้าน-คอนโดที่ปัจจุบันจำกัดไม่เกิน 7 ล้านบาท ให้ครอบคลุมทุกราคาแบบไม่มีเพดาน และกำหนดเป็นมาตรการชั่วคราวถึงสิ้นปี 2568 เพื่อเร่งการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ในภาวะที่ตลาดซบเซาหนักที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งจะสอดรับกับการผ่อนปรน LTV ของธนาคารชาติและช่วยฟื้นตลาดได้จริง

ด้าน นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯขอเสนอมาตรการเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีและคาดว่าจะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ 1.มาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใน 3 เดือนสุดท้ายของปีทันที ด้วยโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเห็นว่ามาตรการคนละครึ่งเวอร์ชันอัปเกรด จะเป็นยาแรงช่วยอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ทั่วถึง โดยขอให้ขยายผลครอบคลุมทุกประเภทร้านค้า เพื่อเพิ่มทางเลือกการจับจ่ายและไม่มีเงื่อนไขซับซ้อน พร้อมปรับเพิ่มวงเงินจาก 150 บาท เป็น 300 บาทต่อวัน โดยกำหนดวงเงินเดือนละ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบัน 2.ส่งเสริมไทยเป็นสวรรค์แห่งการช้อปสำหรับนักท่องเที่ยว โดยลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ของประเทศไทยจากปัจจุบันสูงถึง 20-30% สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง มีอัตราภาษี 0% จึงขอให้ภาครัฐลดเหลือ 10-15% เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในการช้อปปิ้ง และขอให้มีมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบทันที (Instant VAT Refund) ทดลอง คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ณ ร้านค้า สำหรับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อขั้นต่ำ 3,000 บาท เริ่มจากร้านค้าสมาชิกย่านช้อปปิ้งหลักของกรุงเทพฯ และขยายระยะเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียจาก 30 วัน เป็น 45-60 วัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและกระจายรายได้สู่ภาคท่องเที่ยว 3.กระตุ้นการจ้างงานและเสริมกำลังแรงงาน โดยการจ้างงานรายชั่วโมง ลดปัญหาว่างงาน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา ผู้สูงอายุ และแรงงานนอกระบบ รวมถึงช่วยผู้ประกอบการค้าปลีกบริหารต้นทุนแรงงานได้คล่องตัวมากขึ้น

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top