สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) จัดประชุมร่วมกับองค์กรวิชาชีพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางในการจัดการกับเนื้อหาที่มีความรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางที่ถูกนำเสนอซ้ำในสื่อมวลชน ที่ประชุมเห็นพ้องควรใช้ทั้งกฎหมายการกำกับดูแลกันเองและสร้างบรรทัดฐานของสังคม ตอกย้ำความสำคัญของระบบบรรณาธิการ พร้อมชี้เป้าประชาชนสามารถร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อรักษาสิทธิได้ โดยมีผู้แทนจากองค์กรวิชาชีพและผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และกรมสุขภาพจิต เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากช่วงวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา จากกรณีของบุคคลสาธารณะที่มีการกล่าวถึงนักการเมืองโดยใช้ข้อมูลทางด้านสุขภาพที่เป็นข้อมูลอ่อนไหว ให้เกิดผลกระทบทางด้านจิตใจ
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. มีการประชุมหารือแนวทางในการจัดการกับเนื้อหาที่มีความรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางที่ถูกนำเสนอซ้ำในสื่อมวลชน
อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางเสนอแนะด้านเนื้อหา (recommended guidelines) ภายใต้มาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพสื่อ อีกทั้งคณะทำงานร่วมด้านการนำเสนอข่าวเด็ก ข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรงในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เพื่อจัดทำแนวปฏิบัติ พร้อม ๆ กับการส่งเสริมกลไกการกำกับดูแลกันเองให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กสทช. องค์กรวิชาชีพสื่อ นักวิชาการ ด้านสื่อ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายอันนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการรายงานข่าวเพื่อสร้างระบบนิเวศสื่อที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ ในวันอังคารที่ 16 ก.ย. 2568 จะมีการรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อย (focus group) สำหรับ (ร่าง) แนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก และ (ร่าง) แนวปฏิบัติ การรายงานข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรง เพื่อปรับปรุงให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับในการใช้อ้างอิงร่วมกันระหว่าง กสทช. องค์กรวิชาชีพ และองค์กรสื่อต่อไป
ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง กล่าวว่า ความรุนแรงเป็นเรื่องที่ กสทช. ชุดนี้ให้ความสำคัญอย่างมากความรุนแรงที่ปรากฏในเนื้อหาสื่อ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สื่อลดต้นทุนการผลิตและไปเอาเนื้อหามาจากออนไลน์ ซึ่งมักจะเน้นความรุนแรง ซึ่งมีทั้งเรื่องถ้อยคำที่ใช้ ภาพความรุนแรงทางกายภาพ และการแสดงออกถึงความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ซึ่งมาจากระบบความคิดที่สะท้อนความไม่เท่าเทียมในสังคมในมิติต่างๆ ก็จะมีการเหยียด ตีตรา ไปจนถึงการสร้าง ความเกลียดชัง
สำหรับครั้งนี้ ปัญหาในโทรทัศน์ไม่ค่อยรุนแรงเพราะผู้รับอนุญาตจาก กสทช. มีความระมัดระวังพอสมควร มีการดูดเสียงและไม่นำเสนอชื่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบ จะมีเพียงบางส่วนที่หลุดออกมาบ้าง อย่างไรก็ตาม การที่สื่อนำเนื้อหาที่มีความรุนแรงจากออนไลน์มาผลิตซ้ำ อาจเป็นการขยายความรุนแรงออกไป และในแง่หนึ่งก็เป็นการตอกย้ำ และอาจทำให้คนรู้สึกว่าการนำเสนอความรุนแรงเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำได้หรือยอมรับได้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจึงต้องการมองในภาพใหญ่และหาแนวทางในการยกระดับแนวทางการนำเสนอเนื้อหาของสื่อในระยะยาว
นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ อดีตที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ผู้มีปัญหาทางจิต โรคซึมเศร้า อารมณ์สองขั้วควรได้รับโอกาสให้อยู่ร่วมในสังคมเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคอื่นๆ การสร้างความรังเกียจเดียดฉันท์ (discriminate) และสร้างตราบาป (stigma) ให้กับผู้มีปัญหาทางจิตส่งผลกระทบทั้งต่อตัวผู้ป่วยและญาติพี่น้อง นอกจากนี้ หากนำการสร้างความรังเกียจเดียดฉันท์และสร้างตราบาปไปเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมือง อาจนำไปสู่ hate speech หรือคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง คือการใช้ความรุนแรงทางวาจาที่ทำให้การเห็นต่างกลายเป็นเรื่องของความถูก-ผิด ดี-เลว หากรุนแรงขึ้นอาจนำไปสู่ความรุนแรงทางกายภาพและก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมและกระทบกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศได้ด้วย
นพ.ยงยุทธ เสนอว่าควรมีการสร้างมาตรฐานเชิงระบบ ซึ่งในเชิงจิตวิทยานั้นเครื่องมือทางกฎหมายถือเป็นมาตรการขั้นต่ำสุดซึ่งเป็นการลงโทษและอาจมีผลน้อยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ถัดมาคือการกำกับดูแลภายในขององค์กร เช่น มีการตักเตือน ออกแถลงการณ์ แสดงจุดยืน แต่จะให้ดียิ่งขึ้นต้องทำให้เป็นบรรทัดฐานของสังคม ให้เห็นว่าสังคมไม่ต้องการให้มี hate speech และความรุนแรง
นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้เชี่ยวขาญ ด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) กล่าวว่า แม้ว่าการทำงานของสื่อมวลชนอาจได้รับการยกเว้นตามมาตรา 4 (3) ของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่การยกเว้นดังกล่าวก็มีเงื่อนไข เช่น ต้องเป็นองค์กรสื่อมวลชนที่มีกองบรรณาธิการและมีประมวลจริยธรรม และการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขย่อมไม่ได้รับการยกเว้น ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวพิเศษที่ห้ามมีข้อยกเว้น หากละเมิดมีโทษทางอาญา ทั้งนี้ สคส. มีขั้นตอนและกระบวนการในการรับเรื่องร้องเรียนและดำเนินมาตรการต่างๆ รวมถึงการประสานงานกับแพลตฟอร์มในการบล็อกข้อมูลที่ละเมิดได้ ซึ่ง สคส. ยินดีที่จะทำงานร่วมกับ กสทช. ในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนหรือเนื้อหาที่ละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และนายกสมาคมสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) และกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ในคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 สคส. กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางในการสร้างบรรทัดฐานการกำกับดูแลขององค์กรวิชาชีพ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกับ กสทช. ในคณะทำงานพิจารณาแนวทางเสนอแนะด้านเนื้อหา (recommended guidelines) ภายใต้มาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพสื่อ รวมถึงคณะทำงานร่วมด้านการนำเสนอข่าวเด็ก ข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรงในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันระบบการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชนยังเป็นแบบสมัครใจ หากองค์กรสื่อไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก องค์กรวิชาชีพก็ไม่สามารถเข้าไปกำกับดูแลได้
นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ และอนุกรรมการด้านเนื้อหารายการ การส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง และการพัฒนาองค์กรวิชาชีพในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กล่าวว่า การกำกับดูแลมีหลายลำดับชั้น เช่น การวางกรอบทางจริยธรรมขององค์กรวิชาชีพกรอบการกำกับดูแลของ กสทช. พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่คุ้มครองประชาชนในแต่ละประเด็นอีกด้วย เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ซึ่งควรมีการเผยแพร่ความรู้และประสานงานระหว่างหน่วยงานในการส่งต่อเรื่องร้องเรียน
นายสุปัน รักเชื้อ ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า ควรมีการเผยแพร่ให้ประชาชนรับรู้ถึงสิทธิที่ได้รับการคุ้มครอง และช่องทางต่างๆ ในการร้องเรียนกรณีได้รับผลกระทบของ การเผยแพร่เนื้อหาของสื่อ เช่น การร้องเรียนไปที่ช่องรายการ องค์กรวิชาชีพ สำนักงาน กสทช. และองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดให้สื่อโทรทัศน์เผยแพร่ช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนให้ประชาชนได้รับทราบด้วย
นายพีระวัฒน์ โชติธรรมโม นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า ระบบกองบรรณาธิการที่มีการกำหนดขั้นตอนการตรวจสอบและกลั่นกรองเนื้อหาดังที่เคยมีในอดีตถูกลดทอนไปเนื่องจากองค์กรธุรกิจสื่อต้องการลดต้นทุน และในบางครั้งให้อำนาจผู้ดำเนินรายการซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ชม
นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยเสนอให้ กสทช. ในฐานะองค์กรกำกับดูแลกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับอนุญาตส่งแผนผังการทำงานของระบบกองบรรณาธิการเพื่อรับรองถึงคุณภาพในการกลั่นกรองเนื้อหาในระดับหนึ่ง
นายโกศล สงเนียม ผู้จัดการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) และที่ปรึกษาสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า กสทช. ควรสร้างบรรทัดฐานที่ชัดเจนมากขึ้นในประกาศหรือเกณฑ์การรับใบอนุญาตเพื่อทำให้รายการทั้งออนแอร์และออนไลน์อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี