ชิลีและไทยกำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่แห่งความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและหลากหลายยิ่งขึ้น โดยชิลียืนยันเจตนารมณ์ที่จะเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งประเทศไทยและอาเซียนเป็นภาคี ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับบทบาทของชิลีในภูมิทัศน์การค้าเอเชีย–แปซิฟิก และเปิดทางสู่ความร่วมมือในภาคส่วนใหม่ ๆ เช่น การค้าแบบดิจิทัล อุตสาหกรรม วัฒนธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน
นางเกลาเดีย ซานอูเอซา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของชิลี ได้เปิดเผยถึงนโยบายดังกล่าวในระหว่างการสัมมนาภายใต้การประชุมสุดยอดธุรกิจชิลี-อาเซียน (Chile–ASEAN Business Summit) ที่จัด ณ โรงแรม ไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี ความตกลงการค้าเสรีไทย–ชิลี (FTA)
นับเป็นหมุดหมายสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ โดยตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การส่งออกสินค้าของชิลีได้เข้าสู่ตลาดไทยโดยได้รับสิทธิปลอดภาษีเต็มรูปแบบ เปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดไทยได้กว้างขึ้น ในปี 2567 ไทยกลายเป็นตลาดส่งออกหลักของชิลีในอาเซียน คิดเป็นสัดส่วน 42% ของการส่งออกทั้งหมดของชิลีมายังภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ การส่งออกด้านธุรกิจบริการก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด เฉลี่ยปีละกว่า 41.1% ระหว่างปี 2558–2567 จนแตะระดับสูงสุดที่ 444,000 ดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา
นางเกลาเดีย ซานอูเอซา กล่าวว่า ความตกลง FTA ไทย–ชิลีตลอด 10 ปีที่ผ่านมาได้สร้างโอกาสทางการค้าเกินความคาดหมาย และยังสะท้อนถึงอนาคตที่สดใสร่วมกัน “ในวาระครบรอบ 10 ปี FTA ชิลี-ไทย เราจึงมองไกลไปในอนาคต การเข้าร่วม RCEP จะช่วยให้ชิลีสามารถกระจายตลาดการค้า และมีส่วนในการสร้างเวทีเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การค้าระหว่างสองประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยชิลีส่งออกสินค้าอาหารทะเล ผลไม้สด ไวน์ ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ และบริการต่างๆ มายังไทย ขณะที่ไทยส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ และอาหารแปรรูปไปยังชิลี
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประตูของชิลีสู่ตลาดอาเซียน และชิลีก็เป็นสะพานของไทยสู่ตลาด ลาตินอเมริกา ความร่วมมือนี้จึงก้าวไกลไปกว่าแค่เรื่องอัตราภาษีพิเศษ แต่กำลังพัฒนาเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง” พร้อมกับกล่าวต้อนรับการที่ชิลีเดินหน้าสู่การเป็นสมาชิก RCEP ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญที่จะนำชิลีเข้าสู่เครือข่ายการค้าเอเชีย–แปซิฟิกอย่างแท้จริง
นายพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวว่า ก้าวต่อไปของความสัมพันธ์ชิลี-ไทย ไม่เพียงแต่จะขยายการค้าในแง่สินค้าเท่านั้น แต่ยังก้าวไปสู่อุตสาหกรรมวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ “ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดพื้นที่ใหม่ของการเจริญเติบโตของการค้าแบบดิจิทัล คอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ตั้งแต่อาหาร แฟชั่น ไปจนถึงธุรกิจบันเทิง ดนตรี และมวยไทย ทั้งสองประเทศสามารถใช้พลัง Soft Power ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ขณะที่นายเลสเตอร์ คู ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการระหว่างประเทศ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร กล่าวว่า เครือข่ายการค้าของชิลีที่มี FTA 34 ฉบับ เมื่อเทียบกับไทยที่มี 17 ฉบับ ถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการขยายการค้าทวิภาคี “ความตกลงการค้าเสรีไทย–ชิลี ส่งผลให้การค้าและบริการระหว่างสองประเทศสมดุลยิ่งขึ้นและเกิดประโยชน์กับทั้งสองประเทศ” นอกจากนี้ เขาเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของผู้ประกอบการ SMEs และความจำเป็นในการลดอุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถยกระดับห่วงโซ่คุณค่าได้
การสัมมนาปิดท้ายด้วยประเด็นสำคัญที่เห็นพ้องร่วมกันว่า ตลอด 10 ปีแรก FTA ไทย–ชิลีได้ก่อเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่เรื่องของการปลอดภาษีนำเข้า ที่นำมาซึ่งการขยายตัวของการ ส่งออก รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจบริการ ขณะที่ทศวรรษใหม่จากนี้ต่อไปจะเปิดไปสู่ความร่วมมือในมิติที่ลึกและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการค้าแบบดิจิทัล อุตสาหกรรมวัฒนธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการยกระดับความสัมพันธ์ไทย–ชิลีจากหุ้นส่วนทวิภาคีสู่การเป็นสะพานเชื่อมภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิกกับลาติน อเมริกาอย่างแท้จริง
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี