นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่าในครึ่งปีแรกบริษัทฯยังคงสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจสาธารณูปโภค(น้ำ)บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนขยายการให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯเซ็นสัญญาซื้อขายน้ำเพิ่มกว่า 28 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี  ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะ Data center ซึ่งมีความต้องการใช้น้ำที่สูง และคาดว่าจะเซ็นสัญญาซื้อขายน้ำกับลูกค้ากลุ่ม Data center เพิ่มอีก   บริษัทฯ ได้ดำเนินการขยายกำลังการผลิตน้ำและระบบบำบัดน้ำเสียภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ เพื่อรองรับดีมานด์จากลูกค้าที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้ยอดจำหน่ายน้ำจากลูกค้า Data centerบางส่วนได้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป

ส่วนยอดจำหน่ายน้ำในปี2568  แม้ว่าครึ่งปีแรกยอดจำหน่ายน้ำในประเทศจะลดลง แต่คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของดีมานด์จากกลุ่มลูกค้าปิโตรเคมีขณะที่ธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนามยังมีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ปัจจัยหลักจากโครงการDoung River ที่ยังคงมีความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องบริษัทฯตั้งเป้าปริมาณยอดจำหน่ายน้ำรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศในปี2568  ไว้ที่ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร ใกล้เคียงกับปีก่อน

ด้านธุรกิจพลังงาน(ไฟฟ้า)บริษัทฯได้ขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมฯ รวมถึงในประเทศและต่างประเทศ เน้นโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าแบบ Feed-in-Tariff  และ Direct PPA ในครึ่งปีแรกมียอดสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทรวม 991 เมกะวัตต์  ในจำนวนนี้เป็นพลังงานหมุนเวียน 463 เมกะวัตต์  โดยมีโครงการโซลาร์ที่ COD แล้ว 156 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างพัฒนาอีก 285 เมกะวัตต์  นอกจากนี้ยังได้ลงนาม MOU กับลูกค้ากลุ่ม Data Center เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน Direct PPA  ขนาด 120 เมกะวัตต์  บริษัทฯ ตั้งเป้ามียอดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเป็น 1,185 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้และคาดว่าจะมีโครงการโซลาร์เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์อีกกว่า 100 เมกะวัตต์ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้

นายอัครินทร์ ประเทืองสิทธิ์  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการWHAUPกล่าวว่าบริษัทฯมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเสริมสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรม รวมทั้งผลักดันกลยุทธ์ Energy Trading ผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Energy Trading ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าสนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 30 ราย และเตรียมเริ่มทดสอบการซื้อขายจริงภายในโครงการ Sandbox ในเดือนพฤศจิกายนนี้หากสำเร็จจะเป็นการเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ในการซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ รวมถึงต่อยอดไปสู่ธุรกิจคาร์บอนเครดิตในอนาคต