อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเผชิญความท้าทายสำคัญด้านมาตรฐานเหล็กเส้น หลังพบปัญหาคุณภาพของเหล็กที่ผลิตจากเตา IF ซึ่งครองสัดส่วนกว่าครึ่งของตลาดในประเทศ ขณะเดียวกัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ยิ่งสะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของวัสดุหลักที่ใช้ในงานโครงสร้างพื้นฐานและอาคารที่พักอาศัย
นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการศึกษาของคณะทำงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กว่า กลุ่มเหล็กได้รวบรวมข้อมูลทางวิชาการและถอดบทเรียนจากประเทศจีน เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการแก้ไข มอก. เหล็กเส้น ที่ขณะนี้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำลังทบทวน คือ มอก. 20-2559 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลม และ มอก. 24-2559 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กข้ออ้อย เพื่อสร้างมาตรฐานเหล็กเส้นไทยที่ให้ความมั่นใจในความปลอดภัย หลังพบการรายงานปัญหาคุณภาพของเหล็กเส้นที่ผลิตจาก Induction Furnace (IF) และเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ในปัจจุบันประเทศไทยผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างประมาณปีละกว่า 3 ล้านตัน โดยในปี 2567 มีเหล็กจาก IF ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าครึ่ง หรือประมาณ 1.6 ล้านตัน, เหล็กจาก EAF (Electric Arc Furnace) ประมาณ 1.2 ล้านตัน และจากการนำเข้าบิลเล็ตรีดเป็นเหล็กเส้นอีกประมาณ 0.3 ล้านตัน โดยเหล็กจาก IF ขายราคาต่ำจึงมีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดหลักด้านคุณภาพ คือเตา IF ไม่มีระบบออกซิเดชันและการสร้างสแลก (slag) สำหรับกำจัดหรือดูดซับสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน และสิ่งเจือปนที่มากับเศษเหล็ก ทำให้ควบคุมคุณสมบัติทางเคมีตลอดจนปริมาณของสารมลทินและสิ่งเจือปนได้ยาก อีกทั้งลักษณะของการหลอมด้วยการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าที่เตา IF มีการกวนวนต่ำ ทำให้ควบคุมความสม่ำเสมอของเนื้อเหล็กได้ยาก ส่งผลให้คุณสมบัติทางกลของเหล็ก เช่น ความเหนียว ความต้านแรงดึง และความแข็งแรง ไม่สม่ำเสมอ หากต้องการการควบคุมเนื้อเหล็กให้ได้คุณสมบัติเหล็กเส้นที่ดี ต้องเข้มงวดเลือกใช้เศษเหล็กคุณภาพดีและต้องมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กหรือ Refining ในเตาปรุง เช่น Ladle Furnace แต่ในทางปฏิบัติ ประเทศไทยขาดแคลนเศษเหล็กคุณภาพดี และ โรงงาน IF ในประเทศเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ติดตั้งเตาปรุง Ladle Furnace (LF)
สำหรับบทเรียนจากประเทศจีนนั้น จีนเคยเป็นผู้ผลิตเหล็กเส้น IF รายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยกำลังการผลิตปีละกว่า 120 ล้านตัน แต่พบปัญหาเหล็กเส้นคุณภาพต่ำมีความเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุร้ายแรง เช่น อาคารและสะพานถล่ม จีนจึงตัดสินใจปิดโรงงาน IF กว่า 600 แห่งในปี 2560 และปรับมาตรฐานเหล็กเส้นจีน (GB 1499-2018) กำหนดให้ผลิตเหล็กเส้นจาก BOF (Basic Oxygen Furnace) หรือ EAF เท่านั้น พร้อมทั้งกำหนดคุณสมบัติเหล็กเส้นเกรดรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว และได้ปรับมาตรฐานให้เข้มงวดมากขึ้นในปี 2024 (GB 1499-2024) กำหนดให้เหล็กเส้นเกรดรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวต้องผ่านการปรุงคุณภาพน้ำเหล็กแบบ external refining และไม่ให้ใช้วิธีการเพิ่มความแข็งแรงของเหล็กเส้นด้วยการชุบแข็งแบบ Tempcore โดยเน้นเหตุผลหลัก 3 ประการ คือ 1. ความเสี่ยงคุณภาพสูง คือ strip steel ไม่สามารถควบคุมส่วนประกอบและคุณสมบัติทางกลได้ 2. ปัญหาสิ่งแวดล้อม คือ โรงงาน IF ไม่มีมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อม และ 3. ความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน จากการไม่มีต้นทุนในการรักษาคุณภาพและสิ่งแวดล้อมทำให้ผลิตสินค้าราคาต่ำกว่า ส่งผลให้สินค้าที่มีมาตรฐานแข่งขันไม่ได้
สำหรับประเทศไทยจาก มอก. 20-2543 (เหล็กเส้นกลม) และ มอก. 24-2548 (เหล็กเส้นข้ออ้อย) เดิมกำหนดขอบข่ายให้เหล็กเส้นต้องผลิตจาก BOF, EAF หรือ เตา Open Hearth เท่านั้น แต่ในปี 2559 (1 ปีก่อนประเทศจีนยกเลิกเตา IF สำหรับผลิตเหล็กเส้นในปี 2560) มีการปรับแก้เป็น มอก. 20-2559 และ 24-2559 โดยยกเลิกขอบข่ายการผลิตเดิม เปิดกว้างให้มีกรรมวิธีอื่นๆ (รวมถึง IF ที่มีการย้ายฐานเข้ามาในช่วงเวลานั้น) โดยได้เพิ่มข้อกำหนดด้าน การคัดเลือกเศษเหล็ก, การควบคุมส่วนประกอบทางเคมีทุกขั้นตอน, ให้มีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ เช่น มีเตาปรุง (Ladle Furnace) เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กและขจัดสารฝังใน (inclusion) และ ให้มีมาตรการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดดังกล่าวหลายส่วนยังคลุมเครือ ไม่เกิดประสิทธิผล เช่น การกำหนดให้มีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ เช่น มีเตาปรุง นั้น โรงงาน IF ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ไม่มีเตาปรุง ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากกรณีศึกษาของการยกระดับมาตรฐานเหล็กเส้นในประเทศจีน เป็นการกำจัดความเสี่ยงด้านคุณภาพเพื่อรองรับการก่อสร้างโครงการพื้นฐานที่ก้าวหน้าทันสมัยทั่วประเทศจีนทั้งถนน ทางด่วน ระบบขนส่งมวลชน รถไฟความเร็วสูง สะพานสูงใหญ่เชื่อมเส้นทางในหุบเขาในเขตแผ่นดินไหว เขื่อนขนาดใหญ่ ตลอดจนอาคารสูง สำนักงานและที่พักอาศัย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาประมาณ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้จีนได้รับรู้ถึงปัญหาเกี่ยวกับการใช้วัสดุเหล็กจนนำมาไปสู่การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานเหล็กเส้นครั้งใหญ่ของจีนที่เป็นรากฐานสำคัญต่อความมั่นคงปลอดภัยสำหรับสาธารณชน
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากบทเรียนของประเทศจีน กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. จึงได้สรุปผลการศึกษาเสนอให้การแก้ไข มอก. พิจารณาในสาระสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1. กำหนดวิธีการผลิตให้ใช้เฉพาะเตา BOF หรือ EAF และกำหนดเหล็กเกรดรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่ต้องมีการปรุงคุณภาพน้ำเหล็กแบบ external refining 2. ไม่ให้ใช้วิธีเพิ่มความแข็งแรงของเหล็กเส้นด้วยการชุบแข็งแบบ Tempcore 3. ยกระดับคุณสมบัติและการทดสอบเหล็กเส้นที่ทนต่อความล้า (Fatigue) จากการสั่นสะเทือนทั้งรอบสูง และ รอบต่ำจากแผ่นดินไหว 4. เพิ่มระบบตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการผลิตและจำหน่ายเหล็กเส้นด้อยคุณภาพเข้าสู่ตลาด
“ การแก้ไข มอก. ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมมาตรฐานเหล็กไทยไปอีกขั้น เพื่อป้องกันปัญหาคุณภาพ สร้างมาตรฐานที่เชื่อถือได้ในความปลอดภัยของสิ่งก่อสร้างของประเทศ” นายบัณฑูรย์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี