ธปท.ผนึกภาคธุรกิจเดินสายหารือร่วมฟื้นเศรษฐกิจ

ธปท.ผนึกภาคธุรกิจเดินสายหารือร่วมฟื้นเศรษฐกิจ

วันพุธ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เมื่อวันที่ วันที่ 21 ตุลาคม 2568 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ได้ร่วมหารือความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำโดย นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท.  เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงของประเทศ โดยนายเกรียงไกร ได้กล่าวภายหลังการหารือว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการรับมือผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การส่งเสริมการเปิดตลาดใหม่ การกระตุ้นและพลิกฟื้นเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาหนี้และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ การลดต้นทุนพลังงาน มาตรการเยียวยาผลกระทบจากการปิดด่านชายแดน รวมทั้งความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาท วันนี้ได้มาพบปะและหารือร่วมกัน จะได้หาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้น ถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้

ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการประชุมที่ ธปท. ได้มาพบปะกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นที่แรกแบบฟูลทีม จริงๆ แล้ว เราทำงานกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง และทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ  ซึ่งนี้ ธปท. ตระหนักดีว่าการฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจถือเป็นภารกิจสำคัญของภาครัฐและ ธปท. ดังนั้น จึงพร้อมที่จะทำงานร่วมกับภาคธุรกิจและเอกชนให้มากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ วันนี้จึงพาทีมงานมาเพื่อรับฟังปัญหาและความคิดเห็นในการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง และ ธปท. มีความตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างใกล้ชิด และจะมีการนัดพบหารือกับภาคเอกชนอย่างเป็นระยะ เพื่อติดตามสถานการณ์และร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยเรื่องใดที่ ธปท. สามารถดำเนินการได้ทันทีก็จะเร่งดำเนินการ ส่วนเรื่องใดที่ติดขัดหรือมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ก็จะนำไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป   


นายวิทัย กล่าวอีกว่า ภารกิจหลักของ ธปท. คือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1. สร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดและให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง 2. สร้างเสถียรภาพทางระบบสถาบันทางการเงิน 3. สร้างเสถียรภาพทางระบบการชำระเงิน ให้มีระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุผล

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในที่ประชุม นายเกรียงไกร ได้นำเสนอนโยบายการขับเคลื่อนของ ส.อ.ท. ด้วยการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ไปสู่การสร้างเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ผ่านการเปลี่ยนการผลิตจาก OEM-Original Equipment Manufacturer (ผู้ผลิตตามสั่งแบรนด์อื่น) เป็น ODM-Original Design Manufacturer (ผู้ผลิตที่ออกแบบเองด้วย) หรือ OBM-Original Brand Manufacturer (ผู้ผลิตและทำแบรนด์เอง) เปลี่ยนการใช้แรงงาน มาใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม เช่น ดิจิทัล AI และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น เปลี่ยนการผลิตเพื่อกำไร มาเป็นการผลิตเพื่อความยั่งยืน และเปลี่ยนจาก Unskilled Labour มาเป็น High-skilled Labour ผ่านกลไก Pay by skills

ด้าน นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้า โดยกล่าวว่า สิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมกังวล คือ การใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่รายการสินค้ามีการบังคับใช้ที่ต่างกัน บางรายการบังคับใช้แล้ว บางรายการอยู่ระหว่างไต่สวน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้ว ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ยานยนต์และชิ้นส่วนไม้อัด ไม้บาง และวัสดุแผ่น เฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม หล่อโลหะเครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น        ภาครัฐควรสนับสนุนข้อมูลให้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของธุรกิจให้สามารถรองรับมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงผลักดันมาตรการทางการเงินเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว (Transformation) ของธุรกิจและปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมกับหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา การปรับโครงสร้างสินเชื่อสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรองรับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ และการเปิดตลาดใหม่ได้ โดยสินเชื่อพิเศษดังกล่าวจะมุ่งช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวทางธุรกิจและปรับ Supply Chain ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านมูลค่าเพิ่มในประเทศ (RVC) ของสหรัฐฯ และ ผลักดันการใช้สินค้า ที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand )  โดยส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ ใช้สินค้า MiT และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัด (KPI) ที่ชัดเจนในมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ผ่านระบบ e-bidding ภายใน 5 ปี รวมถึงให้ครอบคลุมถึงโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งขยายตลาดสินค้า MiT สู่ภาคเอกชนภายใต้โครงการ “ซื้อของไทยเพื่อคนไทย” และผลักดันให้สินค้า MiT ก้าวสู่ตลาดโลก และควรมีมาตรการสินเชื่อพิเศษสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า MiT

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top