วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
            
								
** บมจ.ไทยออยล์...คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบรอบสัปดาห์นี้ (4พ.ย.-7พ.ย.)...โดยระบุว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับลดลงเนื่องจากตลาดคาดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อรัสเซียถูกจำกัดด้วยอุปทานน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัส ถึงแม้ว่าสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนจะตึงเครียดขึ้น อย่างไรก็ดี ความต้องการใช้น้ำมันได้รับแรงหนุนภายหลังตลาดผ่อนคลายความตึงเครียดต่อการดำเนินนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีน ภายหลังการพูดคุยระหว่างสองผู้นำสหรัฐฯ และจีนเป็นครั้งแรกในช่วงวันที่ 30 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา… ไทยออยล์...คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 55-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล…ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล…
** ผลประกอบการในรอบระยะเวลา 9 เดือนของปี 2568…บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มีรายได้รวม 220,503 ล้านบาท (เทียบเท่า 6,659 ล้านดอลลาร์ สรอ.) มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 499,925 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 3 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการในประเทศไทย เช่น โครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมีนาคม 2567 และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ที่บริษัทเข้าร่วมลงทุนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มาอยู่ที่ 44.27 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 42,761 ล้านบาท (เทียบเท่า 1,288 ล้านดอลลาร์ สรอ.) ในรอบระยะเวลา 9 เดือน ปี 2568…ในรอบ 9 เดือนของปี 2568 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวนกว่า 43,700 ล้านบาท...
** บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน).... ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่...ซึ่งความเคลื่อนไหวที่สำคัญในโครงสร้างของกลุ่มบริษัทครั้งนี้ บ้านปูกำลังเร่งผลักดันการเติบโตของกลุ่มธุรกิจที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจไฟฟ้า โดยการรวมสินทรัพย์ด้านโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ไว้ภายใต้ BKV ซึ่งจะเป็นธุรกิจหลักที่สามารถปลดล็อกกลยุทธ์ก๊าซธรรมชาติครบวงจรในสหรัฐฯ ได้เต็มศักยภาพ ซึ่งครอบคลุมการผลิตก๊าซธรรมชาติ การดักจับคาร์บอน และการผลิตไฟฟ้า ...ขณะเดียวกัน ธุรกิจไฟฟ้าของบ้านปู ภายใต้ BPP จะถูกยกระดับเป็น Power+ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ที่รวมการผลิตไฟฟ้าแบบดั้งเดิมและพลังงานใหม่ไว้ภายใต้เสาหลักธุรกิจนี้... ขณะที่การลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่และโซลูชันดิจิทัลด้านพลังงานจะได้รับการบริหารจัดการภายใต้เสาหลักธุรกิจที่ชื่อว่า Future Tech ซึ่งครอบคลุมถึงธุรกิจ ใหม่ ๆ ที่มีโอกาสเติบโตที่เกี่ยวเนื่องกับ Data Center และเทคโนโลยีพลังงานที่สามารถสร้างพลังร่วมระหว่างกันได้...
** สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) โดย ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ชี้แจงกรณีเหตุการณ์โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป.ลาว ขนาดกว่า 1,200 เมกะวัตต์ หลุดออกจากระบบกะทันหัน ส่งผลให้ความถี่ไฟฟ้าในระบบลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้โรงไฟฟ้าหลายแห่งในไทยและ สปป.ลาว ต้องหยุดทำงานชั่วคราว เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับในบางพื้นที่รวมกว่า 240 เมกะวัตต์...จากการตรวจสอบภายหลังพบว่า สาเหตุสำคัญมาจากการทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์ป้องกันในโรงไฟฟ้าไซยะบุรีที่ต้นทาง และการตั้งค่าอุปกรณ์ป้องกันของโรงไฟฟ้าบางแห่งที่อยู่ในระบบไม่สอดคล้องกับข้อกำหนด Grid Code ของการไฟฟ้า ทำให้โรงไฟฟ้าบางแห่งมีกลไกตอบสนองเร็วจนเกินไปและหลุดออกจากระบบก่อนเวลาที่ควรจะเป็น… อย่างไรก็ตาม หน่วยงานการไฟฟ้าของไทย ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อย่างทันท่วงที โดยเพียงไม่กี่นาทีหลังเกิดเหตุ กฟผ. ได้สั่งการให้เขื่อนหลักทั่วประเทศ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนรัชชประภา และโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง พร้อมประสาน กฟน. และ กฟภ. นำโหลดกลับเข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน ภายในเวลา 6-35 นาที นับตั้งแต่ไฟฟ้าดับ จนระบบไฟฟ้ากลับมามีเสถียรภาพและสามารถจ่ายไฟได้ตามปกติทุกพื้นที่…
** ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งล่าสุด (27ต.ต.68)เห็นชอบ การทบทวนและปรับปรุงคณะกรรมการภายใต้ กพช. เพื่อให้การบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศมีความคล่องตัว บูรณาการ และสอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบัน โดยเห็นชอบให้ ยกเลิกคณะกรรมการภายใต้ กพช. รวม 3 คณะ ได้แก่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม (คำสั่ง กพช. ที่ 1/2568)คณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (คำสั่ง กพช. ที่ 2/2568) คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (คำสั่ง กพช. ที่ 3/2568)…ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้ จัดตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ชุดใหม่ และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศขึ้นใหม่ โดยให้แต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. และมอบหมายให้ กบง. พิจารณาองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ เพื่อดำเนินการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศให้มีความเหมาะสมต่อไป…รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD)และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561–2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานและความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน...โดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน...ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า...เนื่องจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (ร่างแผน PDP2024) อยู่ระหว่างการจัดทำและยังไม่แล้วเสร็จ ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ใช้แผน PDP2018 Rev.1 เป็นกรอบดำเนินงาน พร้อมปรับปรุงกำหนด SCOD และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2568–2573 การปรับปรุงดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเน้นรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ป้องกันกำลังผลิตเกินจำเป็น และลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาว โดยครอบคลุมโรงไฟฟ้า ดังต่อไปนี้ (1) โรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. (2) โรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. แล้วแต่ยังไม่ COD (3) โรงไฟฟ้าที่ยังไม่ระบุผู้พัฒนา (4) โรงไฟฟ้า IPP ที่มีสัญญาแล้วแต่ยังไม่ COD (5) การรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ และใช้ข้อมูลประกอบการจัดทำร่างแผน PDP ฉบับใหม่ต่อไป…**
** อนันตเดช พงษ์พันธุ์**
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี