‘ศุภจี’ย้ำพาณิชย์ดูแลความเป็นธรรมทุกภาคส่วน ดัน Quick Big Win ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

‘ศุภจี’ย้ำพาณิชย์ดูแลความเป็นธรรมทุกภาคส่วน ดัน Quick Big Win ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 16.08 น.

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนได้ไปเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในงาน Policy Talk ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “นโยบายด้านการค้าและการพาณิชย์ของรัฐบาล” จัดโดยหลักสูตรรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ด้านนโยบายสาธารณะระหว่างผู้กำหนดนโยบายและภาควิชาการ โดยตนได้มีการตอบคำถามจากผู้เข้าร่วมรับฟังการบรรยายและนักศึกษาของหลักสูตร ในประเด็นเชิงลึกต่างๆ เช่น เรื่อง ภาษีสหรัฐ การออกนโยบาย วิธีการทำงานด้วย

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลากหลาย ทั้งดูแลการค้าภายในประเทศ การค้าระหว่างประเทศ และราคาสินค้าเกษตร การบริหารจึงต้องยึดบนหลักของเสถียรภาพและความเป็นธรรม ให้ทุกภาคส่วนสามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้สมดุลทางเศรษฐกิจ


“หากสินค้าราคาแพง ผู้บริโภคไม่พอใจ แต่หากราคาถูก ผู้ผลิตก็เดือดร้อน เราจึงต้องหาจุดที่ทุกฝ่ายอยู่ได้อย่างเป็นธรรม ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายต้องมีบุคลิกที่มีใจเปิดกว้าง มีความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย ขวนขวายในความรู้และเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ เพื่อทำความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันทีมงานก็มีความสำคัญต่อความสำเร็จของผู้นำ เพราะเราไม่รู้ทั้งหมด 100% แต่แค่ต้องทำเต็ม 100 ในสิ่งที่รู้ และ focus & prioritize สิ่งที่สำคัญและมีผลสัมฤทธิ์เป็นวงกว้าง”นางศุภจี กล่าว

สำหรับแนวทางบริหารในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การกำหนดนโยบายต้องตั้งอยู่บนฐานข้อมูล ความเข้าใจทั้งจากภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน เพื่อให้นโยบายมีความสมดุลและสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนด 7 นโยบาย Quick Big Win ภายใต้กรอบ 5 เสาหลักของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ได้แก่

1.เจรจาข้อตกลงภาษีซ้อนกับสหรัฐฯ (Agreement of Reciprocal Tax : ART)

2.การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ช่วยเหลือผู้ประกอบการ 7 จังหวัดชายแดน

3.เร่งขยายตลาดใหม่และผลักดัน FTA

4.ดูแลค่าครองชีพประชาชน

5.รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร

6.เสริมความแข็งแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย

7.ปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ

นางศุภจี กล่าวว่า ได้เร่งผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานที่เข้าถึงประชาชนอย่างไร้รอยต่อ (Seamless Ministry) โดยนำเทคโนโลยี AI มาช่วยตอบคำถามและลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะคำถามส่วนใหญ่จากประชาชนจะมาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 80% เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถทุ่มเทเวลากับงานเชิงนโยบายที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

ด้านการดูแลราคาสินค้าและค่าครองชีพ กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรในระยะสั้นผ่านโครงการลดค่าปุ๋ย ค่ายา “ธงเขียว” และโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ รวมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหามันสำปะหลังที่ประสบโรคระบาด โดยเน้นการแก้ไขตรงจุด และการวางโครงสร้างการผลิตใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด (Demand-driven ) เช่น การส่งเสริมโซนนิ่งเกษตร และการพัฒนาโรงสีชุมชน เพื่อเพิ่มมูลค่าการผลิตและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน

ในส่วนของการค้าชายแดน กระทรวงพาณิชย์เตรียมจัดมหกรรม “ธงฟ้าชายแดน” นำสินค้าจาก 7 จังหวัดชายแดนไปจำหน่ายในจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ และร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยช่วยกระจายสินค้าชายแดน และหาตลาดใหม่ และได้ดำเนินโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ร่วมกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 300 แห่ง และร้านขายยากว่า 3,400 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีตัวเลือกสามารถซื้อยานอกโรงพยาบาล ทำให้มีค่าใช้จ่ายลดลง คาดช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายประชาชนได้กว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี

ในด้านการส่งเสริม SMEs และแฟรนไชส์ กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับ DEPA และกระทรวงอุตสาหกรรม สนับสนุนการพัฒนาทักษะด้านธุรกิจให้แก่ SMEs ทั้งการบริหารต้นทุน สินค้าคงคลัง รวมถึงการใช้เทคโนโลยี ขณะที่การผลักดันแฟรนไชส์ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วจากความพร้อมของการมี Branding ที่ดี โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับ SME D Bank เพื่อสนับสนุนแหล่งทุนทั้ง franchisor และ franchisee อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์ยังสนับสนุนการส่งออกของแฟรนไชส์ ซึ่งปัจจุบันมีการส่งออกแฟรนไชส์ไทยไปแล้วกว่า 30 ประเทศ ของ 48 แบรนด์

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ยังให้ความสำคัญกับ “การลงทุนเพื่ออนาคต” โดยด้านการค้ากับต่างประเทศในยุคที่ภูมิทัศน์โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ไทยควรมีจุดยืนในการเป็นพันธมิตรและมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศมหาอำนาจที่เป็นคู่ค้าสำคัญอย่างสมดุลและยืดหยุ่นภายใต้ Multipolar World เพื่อรักษาพื้นที่ของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลกและสร้างการค้าที่ยืดหยุ่น พร้อมใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งของไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าระดับภูมิภาค (Regional Integration) โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งไทยได้มีบทบาทสำคัญในระดับเวทีอาเซียนในฐานะประธานการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลข้ามพรมแดนของอาเซียน หรือ DEFA ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียนให้เติบโตได้มากขึ้น

นางศุภจี กล่าวถึงการสร้าง “ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)” ว่า เป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับการค้าสินค้าเกษตรของไทย โดยล่าสุดไทยได้ลงนามข้อตกลงขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) กับสิงคโปร์ จำนวน 100,000 ตัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของทั้ง 2 ประเทศ “นี่คือการยกระดับการวางบทบาทและตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ของไทยจากเป็นเพียงแค่ประเทศผู้ขายสินค้าเกษตรสู่ผู้สร้างความมั่นคงทางอาหารให้ภูมิภาคและโลก”

“การเป็นผู้บริหารไม่ว่าจะในองค์กรเอกชนหรือหน่วยงานรัฐ แม้ว่าจะมีความแตกต่างของบทบาทหน้าที่ แต่ยังคงมีหลักการทำงานที่เหมือนกัน คือ การเป็นคนที่ต้องเปิดกว้าง ทำความเข้าใจในบริบทของแต่ละที่ที่เข้าไป เคารพบุคลากรที่อยู่ในองค์กรนั้นๆ และหาโอกาสจากความแตกต่างของตัวเราที่จะสามารถช่วยเสริมสร้างการทำงาน และพัฒนาองค์กรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้”นางศุภจี กล่าว

-033

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top