ผู้ผลิตเหล็กไทยวิตก หวั่นอุตฯปล่อยผีเตาIF-ชีวิตปชช.เสี่ยงสูง

ผู้ผลิตเหล็กไทยวิตก หวั่นอุตฯปล่อยผีเตาIF-ชีวิตปชช.เสี่ยงสูง

วันศุกร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 07.31 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้ประกอบในอุตสาหกรรมเหล็กของไทย กำลังจับตากรณีที่ บริษัท ซินเคอหยวน  ผู้ผลิตเหล็กเส้น เหล็กข้ออ้อย เหล็กแผ่น ที่มีกำลังการผลิตรวมกันกว่า 5 ล้านตันต่อปี โดยใช้กระบวนการหลอมด้วยเตา Induction Furnace (IF) กำลังจะกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายเอกนัฎ พร้อมพันธ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในขณะนั้น ได้สั่งระงับกิจการชั่วคราว หลังพบว่าโรงงานผลิตเหล็กของซินเคอหยวน ไม่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย ทำให้เกิดเหตุระเบิด และไฟไหม้ โรงงานถึง 2 ครั้ง นอกจากนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมตรวจพบเหล็กเส้นที่ตกค่ามาตรฐานของ มอก. จากโรงงานดังกล่าวด้วย และ รวมทั้งกรณีที่พบเหล็กเส้นของซินเคอหยวนถูกใช้ในโครงการก่อสร้างอาคารสำนักแห่งใหม่ ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงมาจากหลังจากรับรู้แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568  ทำให้มีการสั่งอายัดเหล็กเส้นจากโรงงานของซินเคอหยวน 4-5 หมื่นเส้น       

อย่างไรก็ตามหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และนายธนกร วังบุญคงชนะ ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ จ่าเอกยศสิงห์ เหลี่ยมเจริญ เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เค้าลางที่”ซินเคอหยวน”จะกลับมาก็เด่นชัดมากขึ้น โดยเริ่มจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ถอนอายัดเหล็กเส้นของซินเคอหยวนจำนวนกว่า 4 หมื่นเส้น และในเวลาใกล้เคียงกัน ก็มีผู้บริหารของบริษัทซินเคอหยวนได้เข้าพบนายธนกร วังบุญคงชนะ ซึ่งประเด็นที่น่าสงสัยคือจากเดิมที่ได้มีการระบุหมายงานนี้ไว้ในระบบการเข้าพบของกระทรวงอุตฯ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบกลับมาคำสั่งลงมาให้ลบหมายกำหนดการนี้ทิ้งไป แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็คือได้มาการหารือกันจริงระหว่าง ผู้บริหารของ บรษัทซินเคอหยวนกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้มันสอดคล้องกับกรณีที่รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวสื่อข่าวประจำกระทรวงอุตฯเมื่อครั้งแรกที่เข้ากระทรวงว่า ให้เบาๆหน่อยนะเรื่อง”ซินเคอหยวน” กระทั่งล่าสุดที่อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ได้สั่งถอนยัด”ฝุ่นแดง” ของบริษัทซินเคอหยวนจำนวน 7.7 หมื่นตัน ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงอุตสาหกรรมในสมัยนายเอกนัฎ พร้อมพันธ์ รมว.อุตสาหกรรม ได้สั่งอายัดไว้ เนื่องจากไม่ทราบที่มาชัดเจนของ”ฝุ่นแดง”ซึ่งเป็นขยะพิษ จำนวนดังกล่าว และสงสัยว่าอาจจะเป็นการลักบอลนำเข้ามา              


แหล่งข่าวจากวงการเหล็กรายหนึ่งระบุว่า การย้ายฐานเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะจากจีนซึ่งทั้งหมดเป็นเตา IF  เป็นสาเหตุของการแข่งขัน “ดัมพ์ตลาด” ในตลาดเหล็กของไทยอย่างหนัก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การบริโภคเหล็กในประเทศลดลง ราคาลดลงอย่างหนัก กำลังการผลิตก็ลดลงอย่างมาก  ส่งผลให้โรงเหล็กหลายแห่งต้องปิดตัวลงในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา และอุตสาหกรรมเหล็กของไทยหยุดการเติบโตและยังคงสถานการณ์เช่นนี้อยู่จนถึงทุกวันนี้  ส่วนกรณีที่นายธนกร ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องถอนอายัดเหล็ก 4 หมื่นเส้นนั้น ก็ต้องดูว่าสอบในประเด็นไหน ถ้าสอบเฉพาะประเด็นอำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย ประเด็นสำคัญของการตรวจสอบคุณภาพเหล็กนั้นถูกต้องหรือไม่ เช่นเรื่องจำนวนของตัวอย่างเหล็กที่นำมาตรวจสอบสมเหตุผล กับเหล็ก 4 หมื่นเส้นหรือไม่ เพราะเหล็กเส้นจำนวนกว่า 4 หมื่นเส้นต้องผลิตหลายรอบการผลิต และข้อเท็จจริงของเตาIF จะมีการควบคุมการผลิตได้ยากมา ดังนั้นการสุ่มตรวจด้วยจำนวนตัวอย่างเพียงเล็กน้อย จึงไม่สามารถยืนยันว่า เหล็กทั้ง 4 หมื่นเส้นจะได้มาตรบานเหมือนกันทั้งหมด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด กลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ได้ยื่นหนังสือเรื่อง “การพิจารณาอนุญาตการประกอบกิจการของผู้ผลิตเหล็กเส้นที่ถูกสั่งปิดโรงงานชั่วคราว” ถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม                  โดยในเนื้อหาระบุว่า สืบเนื่องจากการเข้าตรวจสอบโรงงานผู้ผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตโดยกระทรวงอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา พบว่ามีการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ขาดมาตรฐานในการจัดการด้านความปลอดภัยและการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งในขณะนี้โรงงานผู้ผลิตจำนวนหนึ่งยังคงถูกคำสั่งของกระทรวงอุตสาหกรรมให้ปิดโรงงานชั่วคราว โดยล่าสุดทราบว่าโรงงานที่ถูกสั่งปิดดังกล่าว กำลังพยายามขออนุญาตกระทรวงอุตสาหกรรมกลับมาเปิดดำเนินการใหม่อีกครั้ง ซึ่งในเรื่องนี้กลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย มีความห่วงใยเป็นอย่างมากว่า หากมีการอนุญาตให้โรงงานเหล่านี้กลับมาผลิตสินค้าด้วยการปฏิบัติแบบเดิม ก็จะมีสินค้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตไม่ได้มาตรฐานกระจายออกสู่ตลาดอีกครั้ง ซึ่งจะกลับไปสร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน และการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นไปตามมาตรฐาน

ทั้งนี้จากข้อมูลการเข้าตรวจสอบโรงงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ผ่านมา พบว่าโรงงานที่ถูกระงับการประกอบกิจการดังกล่าว ใช้กระบวนการหลอมด้วยเตา Induction Furnace (IF) ซึ่งข้อจำกัดของเตาหลอมประเภทนี้คือ  1. ไม่มีระบบออกซิเดชัน (Oxidation) และการสร้างสแลก (slag) สำหรับกำจัดหรือดูดซับสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน และสิ่งเจือปนที่มากับเศษเหล็ก เช่น โบรอน 2. ทำให้ควบคุมคุณสมบัติทางเคมีตลอดจนปริมาณของสารมลทินและสิ่งเจือปนได้ยาก 3. จึงต้องมีกระบวนการคัดเลือกเศษเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน และเตรียมเศษเหล็กที่สะอาด และต้องมีการเติมส่วนผสมทางเคมีด้วยธาตุต่างๆ ลงไปในกระบวนการหลอมอย่างแม่นยำ และจะต้องมีกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กด้วยเตาปรุงน้ำเหล็ก (Ladle Furnace) แต่ปรากฏว่าโรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่มีเตาปรุงน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (Ladle Furnace) กล่าวคือ มีเพียง 2 โรงงานเท่านั้นที่มีเตาปรุงแต่มิได้มีการใช้งานในการผลิตอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่เป็นประจักษ์พยานอีกอย่างหนึ่งคือการตก มอก.ที่ผ่านมาของบางโรงงาน ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการไม่สามารถควบคุมส่วนผสมทางเคมี เช่น ค่าโบรอนให้เป็นไปตาม มอก.ได้

ดังนั้นกลุ่ม 10 สมาคมฯ จึงใคร่ขอเรียนเสนอกระทรวงอุตสาหกรรมได้โปรดพิจารณาให้โรงงานที่ถูกสั่งปิดดังกล่าวที่จะขอกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ มอก. เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตอย่างเคร่งครัดครบถ้วน โดยเฉพาะข้อกำหนดด้าน วัสดุ การทำ และส่วนประกอบทางเคมี ที่กำหนดใน มอก. 20-2559 และ มอก. 24-2559 ข้อ 5.2 - ข้อ 5.5  รายละเอียดข้อกำหนด (มอก. 20-2559 และ มอก. 24-2559)  5.2 การทำเหล็กแท่งเล็ก หรือเหล็กแท่งใหญ่ ที่ใช้ทำเหล็กข้ออ้อย ต้องมีขั้นตอนกรรมวิธีการทำและการควบคุมเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 1.  มีระบบคัดแยก ตรวจสอบประเมินคุณภาพเศษเหล็ก (scrap) โดยมีการตรวจสอบควบคุมปริมาณของธาตุฟอสฟอรัสและกำมะถันที่เจือปนอย่างเข้มงวด  2. มีการตรวจสอบคุณภาพส่วนประกอบทางเคมีของน้ำเหล็กในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำเหล็กกล้า (steel making) โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบที่มีมาตรฐาน 3. มีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (refining process) อย่างเหมาะสม เช่น มีเตาปรุง (ladle furnace) หรือการลดฟอสฟอรัส และการลดกำมะถันรวมทั้งปรับแต่งค่าส่วนประกอบทางเคมี ขจัดสารฝังใน (inclusion) ได้อย่างเหมาะสม  4. การหล่อเหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ ต้องเป็นการหล่อแบบต่อเนื่อง (continuous casting) ที่มีอัตราการหล่ออย่างน้อย 10,000 kg/hr และมีการควบคุมอัตราการเย็นตัว (cooling rate) ที่เหมาะสม มีขนาดของเตาหลอมไม่ต่ำกว่า 5,000 kg ต่อ 1 เตา และมีความถี่ในการทดสอบส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม  5.3 โรงงานที่ทำเหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ และเหล็กข้ออ้อย ต้องมีมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี  5.4 เหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ ที่ใช้ทำเหล็กข้ออ้อย อย่างน้อยต้องมีการตรวจสอบในรายการขนาด ลักษณะทั่วไป และ ส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม  5.5 เหล็กข้ออ้อยต้องเป็นเหล็กกล้าไม่เจือ

               

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top