นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ  เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2568-2569 ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส3/2568ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ขยายตัว 1.2% ชะลอลงจาก 2.8% ในไตรมาส2/ 2568และเป็นการชะลอลงทั้งการผลิตภาคเกษตรและการผลิตภาคนอกเกษตร โดยผลผลิตภาคนอกเกษตรชะลอลงตามการลดลงของสาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สาขาการก่อสร้าง และการชะลอตัวของสาขาบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว สำหรับด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง การส่งออกและการนำเข้าสินค้าและบริการ และการสะสมทุนถาวรเบื้องต้นชะลอลง ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลลดลงรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัว2.4%

ทั้งนี้ในไตรมาส3/ 2568 ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ ภาคเกษตรขยายตัว 1.9% ชะลอลงจาก 6.4%ในไตรมาส2/2568 โดยผลผลิตสำคัญที่เพิ่มขึ้นได้แก่ยางพารา ผัก ผลไม้ ข้าวเปลือก สุกรและไก่เนื้อ ขณะที่ผลผลิตมันสำปะหลังและหมวดประมงลดลง

ภาคนอกเกษตรขยายตัว 1.2% ชะลอลงจากการขยายตัว2.5%ในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตลดลง 1.0%เทียบกับการขยายตัว 0.8%ในไตรมาสก่อนหน้าเป็นผลจากการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลง ขณะที่สาขาเหมืองแร่และเหมืองหิน สาขาไฟฟ้าฯและสาขาการจัดการน้ำ การจัดการน้ำเสียฯขยายตัวเร่งขึ้น

กลุ่มบริการขยายตัว2.3ชะลอลงจากการขยายตัว 3.4%ในไตรมาส2 /2568 เป็นผลจากการผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า กิจกรรมทางการเงินและประกันภัย และกิจกรรมด้านสุขภาพและสังคมสงเคราะห์ชะลอลง อย่างไรก็ตามสาขาการขนส่งและการขายปลีกฯสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารและกิจกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวเร่งขึ้น

การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนขยายตัว 2.6% ปัจจัยสำคัญมาจากการใช้จ่ายฯสินค้าไม่คงทนขยายตัวเร่งขึ้นทั้งการใช้จ่ายในกลุ่มอาหารและไม่ใช่อาหาร ขณะที่การใช้จ่ายสินค้าคงทน สินค้ากึ่งคงทนและบริการชะลอลง

การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลลดลง 3.9% เทียบกับการขยายตัว2.2%ในไตรมาส2/2568 เป็นผลจากค่าตอบแทนแรงงาน การโอนเพื่อสวัสดิการสังคมและค่าซื้อสินค้าและบริการลดลง

การลงทุนขยายตัว1.1% ชะลอลงจากการขยายตัว5.8%ในไตรมาส2/2568 โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว4.2% ขณะที่การลงทุนภาครัฐลดลง 5.3%

ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.76% ต่ำกว่า 0.88% ในไตรมาสก่อน และต่ำกว่า 1.02% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ -0.7% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่0.8% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.7 พันล้าน ดอลลาร์ สรอ. (88.3 พันล้านบาท)

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ 262.4 พันล้านดอลลาร์สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 มีมูลค่าทั้งสิ้น 12.23 ล้านล้านบาท คิดเป็น  64.8% ของ GDP

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.0% ชะลอลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่(-0.2%) และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.8% ของ GDPจากเดิมที่เราคาดการณ์ว่าการส่งออกของโลกจะหดตัวลง แต่การส่งออกในปีนี้ยังมีการเติบโตอยู่ทำให้มีการปรับขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้จากเดิม 2.7% มาอยู่ที่ 3.4%

ขณะที่ในปี 2569 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจนปริมาณการค้าโลกลดลงเหลือ 2.3% โดยไทยมีสินค้าที่จะถูกผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐกว่า 82% ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ขณะที่สินค้าที่มีการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออกมีสินค้าจากจีนที่สวมสิทธิ์เพื่อส่งออกของไทยก็มีสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ขณะที่โครงสร้างการส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐก็เพิ่มขึ้น และสินค้าที่เรานำเข้าจากจีนก็เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญที่ต้องมีการพิจารณากันต่อไป