CAAT ผนึก 8 สายการบิน เดินหน้าส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน

CAAT ผนึก 8 สายการบิน เดินหน้าส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน

วันจันทร์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 15.54 น.

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) พร้อมด้วยนายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาเศรษฐกิจการบิน และผู้บริหารระดับสูงของ 8 สายการบินของไทย ได้แก่ สายการบินไทย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สายการบินเค-ไมล์ แอร์ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ และสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF)

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการบินของประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับโลก และบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์


ทั้งนี้ยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของภาคการบินของไทยที่จะสนับสนุนมาตรการสำคัญขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้แก่ มาตรการลดและชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคการบินระหว่างประเทศ (CORSIA) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการนำร่อง เมื่อปี พ.ศ.2564

นอกจากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมการบินของไทยปรับตัวสู่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าวอีกด้วย

อย่างไรก็ตามความร่วมมือครั้งนี้เกิดจากการทำงานอย่างเข้มแข็งของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรการและการสนับสนุนการใช้ SAF ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก CAAT ผู้แทน 8 สายการบิน และ สนข. ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ เห็นร่วมกันว่า การส่งเสริมการใช้ SAF ถือเป็นหัวใจหลักในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน ภายใต้กลไก CORSIA ที่กำหนดให้การใช้ SAF ที่เป็นไปตามมาตรฐานจะถูกนำมาคำนวณเพื่อหักลบกับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้องทำการชดเชย โดยความร่วมมือนี้จะช่วยสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายปณิธานระยะยาวในการลดคาร์บอน (Long Term Global Aspirational Goal: LTAG) เพื่อให้การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ขณะเดียวกัน CAAT ตระหนักถึงความท้าทายด้านต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ SAF ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการดำเนินงานของสายการบิน ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบทางการเงินจากการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม จึงมีการพิจารณาแนวทางการแยกต้นทุนรายการค่าธรรมเนียมคาร์บอน (Carbon Surcharge) ในเส้นทางบินระหว่างประเทศตามความสมัครใจของสายการบิน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ปี 2569 ทั้งนี้การแสดงรายการค่าธรรมเนียมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นต้นทุนที่เกิดจากการลดและชดเชยการการปล่อยคาร์บอนของภาคการบินของไทย โดย CAAT จะดำเนินการตรวจสอบความโปร่งใสและให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปตามข้อกำหนดสากล

“การลงนามความร่วมมือในวันนี้เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินของไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้ว่าประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นอุตสาหกรรมการบินสีเขียว (Green Aviation) ผ่านการสร้างความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมพร้อมทั้งโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืนในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิงอากาศยานของประเทศ” พลอากาศเอก มนัท  กล่าว

ทั้งนี้การใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนตามมาตรฐานสากล แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในระบบนิเวศการบินยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น CAAT จะเดินหน้าทำงานร่วมกับสายการบิน หน่วยงานรัฐ และภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน Green Aviation ในภูมิภาค

 

-031

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top