กรมพัฒน์เร่งปราบธุรกิจผิดกฎหมาย พุ่งเป้าทุนต่างชาติขนาดใหญ่เข้าข่ายนอมินี

กรมพัฒน์เร่งปราบธุรกิจผิดกฎหมาย พุ่งเป้าทุนต่างชาติขนาดใหญ่เข้าข่ายนอมินี

วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 10.11 น.

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (คสธก.) มีรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธานกรรมการ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศและอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นเลขานุการ ซึ่ง คสธก. มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดนโยบายและมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วนเพื่อบูรณาการหน่วยงานในการป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ด้วยการสั่งให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐปฏิบัติงานภายในขอบเขตหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนเพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายและมาตรการเร่งด่วนและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้เท่าทันและความเข้าใจสถานการณ์ต่อประชาชน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในด้านการป้องกันและปราบปรามนอมินี กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้รับรายงานการตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงของคณะทำงานเพื่อปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมายระดับจังหวัดทั่วประเทศ ใน 6 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1) ธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก 2) ธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ 3) ธุรกิจ e-Commerce ขนส่ง และคลังสินค้า 4) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท 5) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร และ 6) ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จ 34 จังหวัด รวม 404 ราย ในส่วนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้กำหนดภารกิจเร่งด่วน (Quick Big Win) โดยกำลังดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานการกระทำความผิดของธุรกิจกลุ่มเสี่ยงที่มีลักษณะนอมินี ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) จำนวน 11 ราย

นอกจากนี้ กรมฯ ได้ตรวจสอบนิติบุคคลเป้าหมายกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มทุนต่างชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่เสี่ยงสูง และส่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

(1) กลุ่มแรก พื้นที่ต่างจังหวัด จำนวน 34 ราย แบ่งตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง 10 ราย โรงแรมรีสอร์ท/ที่พัก 7 ราย บริการให้คำปรึกษา 5 ราย ธุรกิจก่อสร้าง 3 ราย ธุรกิจนำเที่ยว 1 ราย ธุรกิจเหมืองแร่ 1 ราย ธุรกิจร้านอาหาร 1 ราย และธุรกิจอื่นๆ 6 ราย

(2) กลุ่มสอง พื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 27 ราย แบ่งตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจซื้อมาขายไป/ขายปลีก/ขายส่ง 11 ราย ธุรกิจตัวแทนนายหน้านำเข้าส่งออก/ชิปปิ้ง 4 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง 3 ราย ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ท 1 ราย ธุรกิจคลังสินค้า 1 ราย ธุรกิจบริการ (ให้คำปรึกษา/จัดแสดงสินค้า/รับจัดการ) รวม 7 ราย

ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มทุนต่างชาติขนาดใหญ่อีกชุดหนึ่งที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบและคัดกรองข้อมูล รวม 763 ราย โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 448 ราย พื้นที่ต่างจังหวัด จำนวน 315 ราย

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า การดำเนินการป้องกันและปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายยังคงเน้นการตรวจสอบแบบเชิงลึกพุ่งเป้ามากขึ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการค้าและส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเข้มข้น แต่ขณะเดียวกันก็จะปรับกระบวนการทำงานเพื่อให้นักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้รับความสะดวกมากที่สุด

 

-031

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top