วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดเผยว่า ในปี 2559 ปณท.มีแผนเตรียมจัดตั้ง Tech Engine ขึ้นมาในรูปแบบของ บริษัทร่วมทุน (Joint Venture - JV) หรือ บริษัทย่อย โดยโมเดลการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก ปัญหาการดึงดูดบุคลากร การดำเนินงานแบบรัฐวิสาหกิจทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนเพื่อดึงดูด AI Engineer หรือ ผู้พัฒนา (Developer ) ที่มีค่าตอบแทนสูงตามกลไกตลาดเอกชนได้ ซึ่งหากต้องการให้ Digital Transformation สำเร็จอย่างแท้จริง ปณท. จำเป็นต้องสร้างโครงสร้างที่สามารถดึงดูดบุคลากรคุณภาพเหล่านี้เข้ามาได้ โดยโมเดลนี้มีความคล้ายคลึงกับบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น KTB มี Infinitas หรือ SCB มี Arize
ขณะเดียวกัน การสร้างความต่อเนื่อง การพึ่งพาการจ้างงานแบบโครงการ (Project-based) หรือการเปิด TOR (Terms of Reference) ในแต่ละปีจะทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีขาดความต่อเนื่องและเกิดความล่าช้า ดังนั้น การมี Tech Engine In-House ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ปณท. จะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการอัปเดตและพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การอัปเดต Super App
อย่างไรก็ตามเบื้องต้น ปณท. อาจจะถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนนี้ประมาณ25% เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการและดำเนินการ โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะ Tech Partner แต่เป็นการมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้าน Tech ,Logistics, Retail, เพื่อเติมเต็มขีดความสามารถที่ขาดอยู่ เบื้องต้น อาจจะตั้งชื่อบริษัท “ไทยแลนด์ โพสต์”
ขณะเดียวกันในช่วงปลายปีนี้และปี 2569 ปณท. ได้วางยุทธศาสตร์ "Sustainovation"เพื่อนำพาองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาโครงสร้างธุรกิจอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการวางตำแหน่งไปรษณีย์ไทยสู่การเป็น Tech Post อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยโซลูชันหลัก 4 ด้าน 1.การขับเคลื่อนองค์กรด้วย AI เพื่อแก้ไขปัญหาและให้บริการได้ 24 ชั่วโมง 2.การเร่งพัฒนาบริการ D/ID (Delivery ID) 3.ยกระดับบริการ Prompt Post: พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ 4.เพิ่มประสิทธิภาพ Postman Cloud
นอกจากนี้ ปณท. ยังเตรียมทำการทดลองก่อนขยายผลเต็มรูปแบบ (Sandbox First) เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และการลงทุนขนาดใหญ่มีความเสี่ยงสูง ปณท. จะเริ่มจากการทำ Sandbox เพื่อทดสอบเทคโนโลยีลับ ๆ (เช่น IoT และ AI) ในสาขาหรือพื้นที่ที่จำกัดก่อน เพื่อพิสูจน์ให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีนั้น ๆ เหมาะสมกับตลาดไทย และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน หรือเพิ่มรายได้จริงก่อนที่จะขยายผล (Scale-up) ในวงกว้างการขับเคลื่อน Digital Touch Point ที่กำลังจะเกิดขึ้นTech Engine ที่จะเกิดขึ้นนี้จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนการพัฒนา Digital Touch Point ที่กำลังจะเปิดตัวและต้องได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เช่น: Super App จะรวบรวมบริการทั้งหมดของ ปณท. เข้ามาไว้ในแอปพลิเคชันเดียว โดยจะมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ใช้ AI เข้ามาช่วย เช่น การ อ่านเลข Tracking จากสลิปอัตโนมัติ และการแสดงตำแหน่งพัสดุบน แผนที่แบบ Real-timeรวมถึงการให้ลูกค้าสามารถ Manage Delivery (เปลี่ยนจุดส่งของ) ได้เอง ซึ่งปณท.ได้ลงทุนงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในการวางระบบเทคโนโลยีทั้งหมด
นายดนันท์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค. - ก.ย.) ว่า ไปรษณีย์ไทยสามารถทำ รายได้รวม 16,860.73 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจหลัก มาจากกลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งสร้างรายได้กว่า7,990.28 ล้านบาท และมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นที่ 47.39% ของรายได้ทั้งหมด ทั้งนี้ ปณท. ยังคงยืนยันเป้ารายได้รวมในปีนี้ที่ 22,500 ล้านบาท แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้รายได้จากธุรกิจระหว่างประเทศลดลง 10%
“สถานการณ์ของตลาดอีคอมเมิร์ซว่า ปณท. จำเป็นต้อง ไล่ตามให้ทันช่องทางการซื้อขายที่หลากหลาย ในโลกออนไลน์ (Social Commerce, e-Marketplace, Chatbot) ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโต แต่ก็มีความท้าทายที่สำคัญคือการที่ผู้ให้บริการขนส่งต้องทำตามมาตรฐานที่ แพลตฟอร์ม กำหนดทั้งหมด ในการนี้ ปณท. เชื่อว่า รัฐบาลควรเข้ามา กำกับดูแล แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่ดำเนินกิจการในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ของประชาชนและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลให้ผู้ขายมีสิทธิในการ เลือกใช้บริการขนส่ง ที่ตนต้องการ เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการและลดภาระที่ถูกกำหนดโดยแพลตฟอร์ม รวมถึงการกำกับดูแลเรื่องคุณภาพสินค้าและการป้องกันการหลอกลวงบนแพลตฟอร์ม” นายดนันท์ กล่าว
นอกจากนี้ บริการขนส่งระหว่างประเทศถือเป็นอีกหนึ่งบริการเชิงกลยุทธ์ที่ ปณท. ให้ความสำคัญ โดยปริมาณงานในภาพรวมตั้งแต่ปี 2567-2568 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริการ EMS ที่ทำรายได้สูงสุดคิดเป็น 33.99% ของรายได้บริการส่งต่างประเทศทั้งหมดในปี 2569 ปณท.จะมุ่งเสริมมาตรฐานบริการข้ามแดนให้เทียบเท่าสากล และขยายความร่วมมือโลจิสติกส์กับปลายทางสำคัญทั่วโลก เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME และผู้ค้าออนไลน์ สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้น
โดยล่าสุด ปณท ร่วมมือกับไปรษณีย์ลาว โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขยาย International Business และบริการต่าง ๆ ในรูปแบบ Cross Border รวมถึงการขยายบริการ Cash on Delivery (COD) ข้ามแดน โดยให้ไปรษณีย์ลาวทำหน้าที่จัดเก็บเงินปลายทางให้กับผู้ประกอบการไทย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านและสร้างธุรกิจระหว่างประเทศให้เติบโต
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี