นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย(ปณท.) เปิดเผยว่าปี2569 การแข่งขันธุรกิจโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการไม่มีทางที่ลดลงตราบใดที่ยังมีทราฟฟิกหรือการเข้าชม ที่ผู้คนเข้ามาดูอยู่แล้วทุกวันซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ แต่จะเป็นการแข่งขันที่แตกต่างด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เน้นกระจายสินค้าไปถึงผู้บริโภคได้เร็วที่สุด จะทำให้เป็นการเพิ่มมูลค่า และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น ทำให้เราจำเป็นต้องพัฒนาโซลูชั่นระบบการขนส่งเพิ่มมากขึ้น

  “ปีหน้าปณท.คาดว่าจะใช้งบประมาณการลงทุนรวมราว 1,000 กว่าล้านบาท และเป็นปีที่ ปณท.เน้นความสำคัญกับธุรกิจค้าปลีก (retail) มากกว่าเดิม ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ผ่านเว็บไซต์ Thailand Post Mart และการขายสินค้าผ่านที่ทำการไปรษณีย์และบุรุษไปรษณีย์ที่มีอยู่กว่า 20,000 คนทั่วประเทศ และดึงสินค้าโอท็อปที่มีอยู่ทั่วประเทศขายผ่าน ระบบขนส่งโครงสร้างพื้นฐานของปณท.ถือเป็นจุดแข็งที่มีอยู่ทั่วประเทศ รวมไปถึงการเพิ่มโซลูชั่นการส่งสินค้าที่เป็นเฉพาะทางมากขึ้น เช่น การส่งยาจากรพ.โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องมารับยาเอง การด้านการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีและการแพทย์ทางไกล หรือ เทเลเมดิซีน (Telemedicine) โดยการส่งจะต้องมีรูปแบบที่แตกต่างกันกับการขนส่งสินค้าทั่วไป ” ซีอีโอ ปณท. กล่าว

  ปัจจัยบวกที่จะส่งให้ธุรกิจโลจิสติกส์เติบโต มาจากภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศ หลังจากปีนี้เศรษฐกิจหดตัวลง คาดว่าในปีหน้าจะกลับมาเติบโตจากการสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในโครงการต่างๆ ขณะที่การแข่งขันของแพลตฟอร์มต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามา จากเดิมที่เป็นการขายสินค้าผ่าน Social Commerce แต่ปัจจุบันถูกแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมาจากการ Shoppertainment แทบทุกแพลตฟอร์มที่เริ่มนำเสนอวีดีโอสั้นพร้อมฟีเจอร์ การปักตะกร้า  เพื่อให้ผู้ชมซื้อสินค้าได้ทันทีนี่คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดขนส่งในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากแพลตฟอร์มดังกล่าว

             “ไม่ใช่แค่ไทย ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนที่ถูกขายบนแพลตฟอร์มนี้ Tik Tok กลายเป็นแพลตฟอร์มที่สินค้าจีนหลังไหลเข้ามามหาศาล เราอยากให้หน่วยงานที่กำกับดูแล  กำหนดกฏและกติกาที่จะช่วยให้ไม่ผูกขาด อยากให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาดูแลเพื่อช่วยผู้ประกอบการไทย” ซีอีโอ ปณท. กล่าว
         

     ปีหน้า ปณท.มีแผนเตรียมจัดตั้ง Tech Engine ขึ้นมาในรูปแบบของ บริษัทร่วมทุน (Joint Venture - JV) หรือ บริษัทย่อย โดยโมเดลการตั้งบริษัทลูกมัวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง  เบื้องต้น ปณท. จะถือหุ้นประมาณ 25% เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการและดำเนินการ โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะ Tech Partner แต่เป็นการมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้าน Tech ,Logistics, Retail, เพื่อเติมเต็มขีดความสามารถที่ขาดอยู่ เบื้องต้นมีแนวคิดการตั้งชื่อบริษัท “ไทยแลนด์ โพสต์ เทคโนโลยี”

-032